ศึกทีวีดาวเทียมระอุ รายใหญ่แห่ฮุบช่อง
ในที่สุดธุรกิจทีวีดาวเทียมก็มาถึงจุดที่มีโอกาสสร้างรายได้อย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น หลังจากอยู่ในภาวะฝุ่นตลบในช่วง 34 ปีที่ผ่านมา จุดเปลี่ยนสำคัญมาจากการขยายตัวของจานดาวเทียม ที่ปัจจุบันครอบคลุมบ้านของประชากรไทยราว 50% หรือ 10 ล้านครัวเรือน อีกอย่างคือมีเรตติ้ง ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการหารายได้ของผู้ผลิตรายการ
ปัจจุบัน เอซี นีลเส็น เข้ามาจัดเรตติ้งรายการโทรทัศน์ทีวีดาวเทียม 1 ใน 20 ช่องอันดับแรก ทำให้ผู้โฆษณาเชื่อมั่นมากขึ้นในการซื้อโฆษณา ประกอบกับช่องฟรีทีวีอัตราจองโฆษณาค่อนข้างเต็ม เพราะถูกกฎหมายจำกัดให้โฆษณาได้ 10 นาทีต่อชั่วโมง
เมื่อมีความต้องการซื้อโฆษณามากขึ้น ค่าโฆษณาแพงตาม ทีวีดาวเทียมจึงเป็นทางเลือกใหม่ในราคาที่ถูกกว่าฟรีทีวีเป็น 100 เท่า ผู้ผลิตรายการที่เป็นเจ้าของคอนเทนต์ จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะชิงเค้กโฆษณาก้อนนี้จากฟรีทีวี เพราะมีมูลค่าถึง 6 หมื่นล้านบาท และที่สำคัญเป็นธุรกิจที่ไม่มีค่าสัมปทาน
อรพรรณ มนต์พิชิต บวรวัฒนะ รองประธานสายงานลิขสิทธิ์และกลุ่มทีวี บริษัท โรส มีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ผู้ให้บริการช่องแก๊งการ์ตูน แชนแนล และช่องโฟร์ตี้ ฟิฟตี้ แชนแนล กล่าวว่า แนวโน้มของธุรกิจทีวีดาวเทียมเริ่มดีขึ้น เนื่องจากมีการวัดเรตติ้ง ทำให้ผู้โฆษณามั่นใจในการใช้เงินมากขึ้น แต่ต้องสร้างความต่างเพื่อดึงลูกค้าให้มาใช้เงิน เพราะทุกวันนี้ช่องทีวีดาวเทียมมีมากกว่า 100 ช่อง ผู้ชมดูได้จริงไม่เกิน 20 ช่อง ซึ่งตอนนี้มีรายเล็กที่เลิกไป และมีรายใหญ่เข้ามาจับจองพื้นที่แทน
“
ค่าโฆษณาทางทีวีดาวเทียมยังถูกมาก เพียง 5,000 บาทต่อนาที มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่คงยังปรับไม่ได้มาก เพราะส่วนใหญ่เจ้าของสินค้าจะซื้อแบบยกแพ็ก ฉะนั้นช่องที่ไม่แข็งแรงจะอยู่ไม่ได้ และเริ่มเห็นการขายช่องให้กับรายใหญ่ที่มีความพร้อมในด้านเงินทุน ที่เริ่มเข้ามาไล่ซื้อช่องกันมากในช่วงนี้ ซึ่งสุดท้ายก็จะเหลือแต่รายใหญ่ๆ เท่านั้น” อรพรรณ กล่าวไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กล่าวว่า ทีวีดาวเทียมคือชีวิตใหม่ของแกรมมี่ หลังจากรอมา 15 ปี เพราะการมี พ.ร.บ.การประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ทำธุรกิจนี้ได้อย่างถูกกฎหมาย และด้วยความพร้อมของบริษัท ปีนี้จะขยายช่องทีวีดาวเทียมอีก 510 ช่อง จากที่มีอยู่แล้ว 6 ช่อง และยังจองช่องทีวีดาวเทียมจากไทยคมไว้ทั้งหมด 20 ช่อง เพื่อขยายช่องรายการเพิ่มในอนาคต
แผนธุรกิจของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ คือการสร้างแพลตฟอร์มทีวีดาวเทียมของตัวเอง และขายเป็นแพ็กผ่านกล่องรับสัญญาณ (Set Top Box) จึงดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย เช่น สาระแน แชนแนล ของวิลลี่เปิ้ลหอย และจะร่วมมือกับเจเอสแอล เอสทีจี มัลติมีเดีย รวมถึงซื้อลิขสิทธิ์รายการจากต่างประเทศ ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์เกาหลี อเมริกา รวมถึงสนใจในลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ ด้วย
“
ภายใน 3 ปี รายได้จากทีวีดาวเทียมจะมากกว่าธุรกิจเพลงซึ่งเป็นธุรกิจหลัก เพราะนี่คืออิสรภาพของสื่อที่ไม่มีข้อจำกัด ต่อไปการแข่งขันแข่งที่คอนเทนต์เป็นหลัก” ไพบูลย์ กล่าวด้าน พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส กล่าวว่า ปีนี้อาร์เอสจะขยายช่องทีวีดาวเทียมอีก 3 ช่อง รวมเป็น 5 ช่อง แนวคิดหลักคือการแย่งเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ที่มีมูลค่าถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อปี ดังนั้นช่องใหม่ คือ ช่อง 8 อินฟินิตี้ ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค. จะเป็นช่องบันเทิงที่มีละครใหม่ออกอากาศเพื่อแข่งกับฟรีทีวีโดยตรง
“
แนวคิดในการทำช่องทีวีดาวเทียมของเรา คือ มุ่งตอบสนองวิถีชีวิตของผู้บริโภคเป็นหลัก และมีโอกาสทางธุรกิจชัดเจน ปริมาณไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่คุณภาพและการตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด” พรพรรณ กล่าวปัจจุบันธุรกิจทีวีดาวเทียมเข้าสู่ยุคปลาใหญ่กินปลาเล็ก รายเล็กๆ ที่เคยอยู่ในตลาดก่อนหน้านี้เริ่มลดน้อยลง หลีกทางให้กับผู้ที่มีความพร้อม โดยเฉพาะด้านคอนเทนต์จะได้เปรียบ เพราะการดึงงบโฆษณามาได้ต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ซึ่งตอนนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ได้เข้าไปจับจองช่องดาวเทียมไว้หมดแล้ว
เมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานขายไทย อินโดจีน และจีน บริษัท ไทยคม กล่าวว่า ปัจจุบันช่องออกอากาศของดาวเทียมไทยคม 5 เกือบเต็ม และมีคนจองไว้แล้ว โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยระบบซีแบนด์เหลืออยู่ 45 ช่อง และระบบเคยูแบนด์เหลือ 710 ช่อง และมีประมาณ 10 ช่องที่ไม่แข็งแรง และอาจเลิกการผลิตรายการ ซึ่งรายใหญ่พร้อมจะเข้ามาจับจองช่องไว้
ทั้งนี้ ไทยคมจะให้ความสำคัญกับรายเล็กและรายใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน โดยพิจารณาดูจากเนื้อหาของช่องรายการเป็นหลัก และจัดประเภทให้เป็นหมวดหมู่ ให้แข่งขันกันอย่างเท่าเทียม แต่ต้องยอมรับว่าผู้ผลิตรายการรายใหญ่มีความได้เปรียบด้วยเนื้อหารายการที่มี สามารถนำมาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลากหลายช่องทาง
“
มองว่าช่องรายการเพียง 20 อันดับแรกเท่านั้นที่จะได้เงิน จากช่องที่มีอยู่เป็น 100 ช่อง สุดท้ายคุณภาพรายการจะเป็นตัวพิสูจน์ และทำให้เกิดการเปลี่ยนหน้าของผู้ลงทุนเข้ามาเรื่อยๆ” เมฆินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

