posttoday

ส่งออกไทยช่วงที่เหลือปี 68 เสี่ยงหดตัว เหตุภาษีสหรัฐฯ กระทบชัดขึ้น

25 กันยายน 2568

SCB EIC มองส่งออกไทยช่วงที่เหลือปี 68 เสี่ยงหดตัว หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ส่งผลชัดขึ้น และ Specific tariffs ที่อาจออกมาเพิ่ม

กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยมูลค่าส่งออกสินค้าเดือน ส.ค.2568 อยู่ที่ 27,743.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวชะลอลงเหลือ 5.8% ชะลอลงมากจาก 11.0%YoY ในเดือนก่อน และชะลอลงมากกว่าที่ประเมินไว้ (SCB EIC และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 9.5%) ส่งผลให้ภาพรวมมูลค่าส่งออก 8 เดือนแรกของปี 2568 ยังขยายตัวสูง 13.3% จากผล Frontload ในช่วง 7 เดือนแรกของปีก่อน สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้

โดยการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ เดือน ส.ค. ชะลอลงเหลือ 12.8%YoY จากที่เคยขยายตัวสูง 42.1% และ 31.4% ในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ตามลำดับ และส่งออกทองไปสวิตเซอร์แลนด์และบางประเทศในอาเซียนยังหนุนให้ส่งออกขยายตัวในเดือนนี้ 

ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าเดือน ส.ค. อยู่ที่ 29,707.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 15.8% เร่งขึ้นมากจาก 5.1% ในเดือน ก.ค. สูงกว่าประมาณการ (SCB EIC และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 9.2%) ภาพรวมมูลค่านำเข้า 8 เดือนแรกปีนี้ ขยายตัวสูง 13.3% โดยการนำเข้าเกือบทุกหมวดขยายตัวสูงกว่าเดือนก่อน คือ 1) สินค้าทุน 2) สินค้าอุปโภคบริโภค 3) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (รวมทองคำ) 4) ยานพาหนะและอุปกรณ์ 5) เชื้อเพลิง 6) อาวุธและยุทธปัจจัย 

SCB EIC พบ 2 ประเด็นน่าสนใจของตัวเลขนำเข้าเดือน ส.ค.นี้

(1) ไทยนำเข้าเครื่องประดับอัญมณี (สินค้าอุปโภคบริโภค) สูงถึง 74.2% เพิ่มจาก 25.1% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ สูงถึง 279.4% เพิ่มจาก 24.1% ในเดือนก่อน คิดเป็นกว่า 42.6% ของมูลค่านำเข้าเครื่องประดับอัญมณีทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ 

(2) ไทยนำเข้าแผงวงจรไฟฟ้า (สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป) เพิ่มขึ้นมาก 122.9% เทียบ 5.1% ในเดือนก่อน มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,727.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะจากไต้หวันสูงถึง 246.2% เพิ่มจาก -31.6% ในเดือนก่อน คิดเป็น 60.1% ของมูลค่านำเข้าแผงวงจรไฟฟ้าทั้งหมดของไทยในเดือนนี้

ดุลการค้า (ระบบศุลกากร) เดือน ส.ค. กลับมาขาดดุลสูง -1,964.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเกินดุลติดต่อกัน 3 เดือน สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะยังเกินดุล (SCB EIC และค่ากลาง Reuter Poll ที่ เกินดุล 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผลจากการนำเข้าที่สูงกว่าคาดการณ์ไว้มาก ดุลการค้าสะสม 8 เดือนแรกของปี 2025 ขาดดุล -1,704.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

SCB EIC คาดมูลค่าส่งออกไทยในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้เสี่ยงหดตัวจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นผลตั้งแต่เดือน ส.ค. และ Specific tariffs ที่สหรัฐฯ เตรียมประกาศเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐฯ ที่ยังเติบโตสูงมากในช่วง 8 เดือนแรกของปีก่อนถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่ม 

การส่งออกไทยในเดือน ส.ค. ขยายตัวจากปัจจัยชั่วคราว ทั้งการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทองคำไม่ขึ้นรูป หากไม่นับปัจจัยชั่วคราวนี้ การส่งออกไทยเดือน ส.ค. อาจไม่มีการเติบโตหรือหดตัวไปแล้ว 

นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 12.8%YoY มาจากสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวหลัก (CTG) มากถึง 13.4%YoY (สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สหรัฐฯ ยังยกเว้นภาษีมี CTG 12.2%YOY) ทั้งนี้ หากไม่มีแรงส่งจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ อาจหดตัว นอกจากนี้ ส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังเผชิญปัจจัยฐานสูง และค่าเงินบาทแข็งนำภูมิภาค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกของไทยเพิ่มเติมนอกจากปัจจัยภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ได้

ส่งออกไทยช่วงที่เหลือปี 68 เสี่ยงหดตัว เหตุภาษีสหรัฐฯ กระทบชัดขึ้น

แม้ไทยต่อรองสหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 19% แต่นโยบายกำแพงภาษียังมีความไม่แน่นอนและซับซ้อนในรายละเอียด อาจทำให้ไทยโดนภาษีสูงกว่า 19% ที่เจรจาไว้ได้

1) ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ เก็บเพิ่มแบบ Stack กับคู่ค้าทั่วไป โดยสหรัฐฯ จะเก็บอัตราภาษีตอบโต้ตามที่ประกาศไว้ต้นเดือน ส.ค. เพิ่มจากอัตราภาษีเดิมที่สินค้าแต่ละประเทศถูกเรียกเก็บตาม Harmonized Tariff Schedule of the United States (HTSUS) หรืออัตรา Normal Trade Relations (NTR) หรือ MFN Rate ประเทศทั่วโลกที่ไม่ได้มีข้อตกลงการค้าพิเศษ (FTAs) กับสหรัฐ เช่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ จะต้องเจออัตราภาษีนำเข้าใหม่สูงกว่าอัตราภาษีเดิมที่เคยถูกเรียกเก็บ เช่น ไทย เดิมเคยจ่าย MFN Rate เฉลี่ย 3.5% หลังเจอภาษีศุลกากรตอบโต้ใหม่ 19% รวมกันเป็น 22.5% 

สหรัฐฯ ตกลงเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ 15% จากสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นแบบ Non-stack โดย 

  • หากอัตราภาษีนำเข้าเดิม (HTSUS) น้อยกว่า 15% อัตราภาษีนำเข้าสินค้านั้นจะถูกปรับใหม่เป็น 15% ขั้นต่ำ เช่น รถยนต์ญี่ปุ่น เดิมโดนเก็บอัตราภาษี 2.5% จะถูกปรับเป็น 15% (ไม่ใช่ 2.5%+15% = 17.5%)  
  • หากอัตราภาษีนำเข้าเดิม (HTSUS) มากกว่า 15% อัตราภาษีนำเข้าสินค้านั้นจะไม่ถูกเก็บอัตราภาษีตอบโต้เพิ่มเติม (จ่ายอัตราภาษีเดิม) เช่น เนื้อวัวญี่ปุ่น เดิมโดนอัตราภาษีนำเข้า 26.4% จะไม่โดนเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ จึงมีแต้มต่อเทียบกับคู่แข่งทั่วไป

2) ประเทศทั่วโลกจะต้องเผชิญภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 4 รูปแบบที่ยังมีความซับซ้อนสูง อาจโดนเก็บอัตราภาษีนำเข้าบางรูปแบบสูงกว่าอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ที่เจรจาไว้ คือ 

  • ภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment tariff) อัตรา 40% สำหรับสินค้าที่มีขั้นตอนการผลิตโดยใช้ Local content หรือ Regional value content ต่ำ อย่างไรก็ตาม ภาษีนี้ยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียด  SCB EIC ประเมินเบื้องต้นพบว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมส่งออกไทยที่มีสัดส่วนการใช้ Import content สูง คิดเป็นราว 40% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมดไปสหรัฐฯ
  • ภาษีเฉพาะเจาะจงรายสินค้า (Specific tariff) เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ผลิตภัณฑ์เหล็กบางชนิดถูกเก็บอัตราภาษี 25%-50% สำหรับทองแดงอัตรา 50% ขณะที่รถยนต์และส่วนประกอบอัตรา 25% SCB EIC ประเมิน Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ พบว่า 3 ใน 16 รายการ เช่น ยางยานพาหนะ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้าอยู่ในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 12% ของมูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด   
  • ภาษีเฉพาะเจาะจงพิเศษภายใต้ มาตรา 232 (Special specific tariff under section 232) เก็บอัตราภาษีไม่ตายตัว โดยจะเก็บภาษีเหล็ก 50% ตามมูลค่าเนื้อเหล็กที่สินค้านั้น ๆ ใช้ในการผลิต เช่น เครื่องปรับอากาศ (ซึ่งส่วนมากจะมีมูลค่าเนื้อเหล็กในการผลิตสูงราว 50%) จะถูกเก็บอัตราภาษีรายการนี้อีก 25% แทนอัตราภาษีตอบโต้ 19%  SCB EIC ประเมิน Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ พบว่า 3 ใน 16 รายการ เช่น ตู้เย็น, ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ อยู่ในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 7% ของมูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
  • ภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal tariff) 19% ตามข้อตกลงการค้าไทยกับสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. SCB EIC ประเมิน Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ พบว่า 6 ใน 16 รายการ อยู่ในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 16% ของมูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด 

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีนำเข้าให้บางสินค้าที่สหรัฐฯ ผลิตได้จำกัดหรือผลิตไม่ได้ เช่น หลอดไฟ LED แกรไฟต์ ส่วนประกอบยาบางชนิด และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิด ส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกที่มีการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวดี เช่น ไทย, เวียดนาม และไต้หวัน ซึ่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ สูง SCB EIC ประเมินจาก Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ สินค้ากลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของมูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด 

3) นโยบายกำแพงภาษีสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจาก 

1.อยู่ระหว่างศึกษาและประกาศ Specific tariffs รายสินค้าเพิ่มเติม เช่น ยาและวัตถุดิบ, เซมิคอนดักเตอร์, รถบรรทุกขนาดใหญ่, ไม้และไม้แปรรูป และเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องยนต์เจ็ท 

2.ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ - จีนอาจกลับมาตึงเครียดอีกครั้งหลังสิ้นสุดข้อตกลงลดอัตราภาษีนำเข้าชั่วคราว 90 วัน (สหรัฐฯ เก็บจีนเหลืออัตรา 30%) ในวันที่ 10 พ.ย. 

3.สหรัฐฯ เรียกร้องให้ประเทศพันธมิตร เช่น G-7 ขึ้นภาษีนำเข้าจีน, อินเดีย หรือประเทศอื่น ๆ ที่ทำการค้ากับรัสเซีย 

4.หาก US Supreme Court ตัดสินทรัมป์แพ้คดีการใช้อำนาจประธานาธิบดี (IEEPA) ออกคำสั่งเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ ทรัมป์อาจใช้ทางเลือกอื่น เช่น I) มาตรา 232 Trade Expansion Act 1962 ขยายประเภท Sectoral tariff II) มาตรา 122 Trade Act 1974 เก็บ Universal tariff 15% นาน 150 วัน และ III) มาตรา 301 Trade Act 1974 เก็บภาษีประเทศที่มีการค้าที่ไม่เป็นธรรม

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68