"เอกนิติ" จ่อชง "คนละครึ่ง" เข้าครม.ต.ค.นี้ ชี้คนเสียภาษีรับสิทธิมากกว่า
เอกนิติ รองนายก และรมว.คลัง เผยเตรียมดัน "คนละครึ่งพลัส" เข้าครม. สัปดาห์ที่ 2 ต.ค.นี้ ใช้งบประมาณเดิม ไม่เพิ่มขาดดุล เน้นคนเสียภาษีได้สิทธิมาก ยึดวินัยการคลังเข้ม
KEY
POINTS
- โครงการ "คนละครึ่งพลัส" เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในเดือนตุลาคมนี้
- จุดเด่นของโครงการคือผู้ที่เสียภาษีจะได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าคนทั่วไป เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เข้าสู่ระบบภาษี
- เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่คำนึงถึงวินัยการคลังในระยะยาว พร้อมยกระดับผู้ค้าผ่านการทำบัญชีดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึงความคืบหน้า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นภายใต้หลักการ "ฟื้นสั้น มุ่งยาว" ผ่านโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ว่า โครงการดังกล่าวเตรียมจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนตุลาคมนี้ อย่างแน่นอน
"สำหรับโครงการคนละครึ่ง ได้คุยกันท่านปลัดลวรณ ประสานงานในฐานะพี่น้อง โดยเตรียมนำโครงการจะเข้าเข้าสู่การพิจารณา ของครม. น่าจะภายในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนต.ค.นี้ เมื่อโครงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว จะสามารถเปิดให้ลงทะเบียนได้ทันที " นายเอกนิติ กล่าว
โครงการ "คนละครึ่งพลัส" ถูกออกแบบเพื่อเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจเร็ว ถือเป็นการสานต่อนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งเป็นการกระตุ้นที่คำนึงถึงวินัยการคลังในระยะยาว ซึ่ง "พลัส" หมายถึง 1.การคํานึงถึงวินัยการคลังผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้ประโยชน์มากกว่า 2. การยกระดับศักยภาพ มีการรีสกิลหรืออัพสกิลให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิ
ด้านงบประมาณ โครงการนี้จะใช้งบประมาณเดิมของรัฐบาท และไม่ส่งผลให้การคลังขาดดุลเพิ่มขึ้น พร้อมยืนยันว่า นโยบายทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบการคลังที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยรัฐบาลเตรียมปรับกรอบการคลังระยะปานกลาง ครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันจัดอันดับเครดิต เช่น Fitch Ratings ที่เพิ่งปรับแนวโน้มของประเทศไทย
พร้อมกันนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้รวดเร็วควบคู่ไปกับการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเข้มงวด โดยได้หารือกับทีมงานและตระหนักถึงคำเตือนของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น Fitch Ratings ที่ได้ปรับลด Outlook ของไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นแต่คำนึงถึงผลในระยะยาว
ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงตั้งเป้าไม่ให้ขาดดุลการคลังเกิน 3% ของ GDP ในระยะยาว พร้อมผลักดันการปฏิรูปภาษี และการเพิ่มรายได้ของรัฐโดยไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่
"ผมจะทำให้ดู การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ไม่ว่าจะทำอะไรจะเพิ่มรายได้เศรษฐกิจ และเพิ่มวินัยทางการคลัง ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ตรงเป้าหมายมากขึ้น โดยทุกนโยบายต้องชัดเจนเรื่องต้นทุนและผลลัพธ์ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อเศรษฐกิจและการคลังของประเทศในระยะยาว" นายเอกนิติ กล่าว
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากที่มีการเสนอให้ ครม. พิจารณาโครงการคนละครึ่ง พลัส แล้ว คาดว่าจะสามารถเปิดให้มีการลงทะเบียนร้านค้า และประชาชนราว 2 สัปดาห์ และน่าจะเริ่มเปิดให้มีการใช้จ่ายได้เร็วสุดในช่วงปลายเดือน ต.ค. 2568 หรือถ้าไม่ทันก็จะให้ใช้จ่ายได้ในช่วง พ.ย. – ธ.ค.นี้ ส่วนประเด็นเรื่องผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีรัฐบาลจะจ่ายสมทบ 50% และประชาชนจ่ายเอง 50% ส่วนผู้ที่อยู่ในระบบภาษีรัฐบาลจะจ่ายสมทบ 60% และประชาชนจ่ายเอง 40% นั้น ส่วนต่างตรงนี้อาจจะใช้วิธีการ Top Up 10% ให้กับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี ส่วนรูปแบบที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไรขอให้รอดูความชัดเจนภายหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาฯ ให้เรียบร้อยก่อน


