“เอกนิติ” สั่งปลัดคลัง ตั้งทีมงานแกะรอยเงินทุนปริศนาไหลเข้าไทย
“เอกนิติ” สั่งปลัดคลัง ตั้งทีมงานทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวกข้องกับค่าเงินบาท และเงินทุนเข้าออก เพื่อติดตามเงินทุนปริศนาไหลเข้าไทย เริ่มทำงานทันทีหลังถวายสัตย์
วันนี้ (22 กันยายน 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เข้าหารือกับสมาคมธนาคารไทย ภายใต้หัวข้อ “ฝ่าวิกฤต พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ด้วยพลวัตใหม่” ที่สมาคมธนาคารไทย แจ้งวัฒนะ
โดยหนึ่งในประเด็นที่มีการหารือกันในครั้งนี้ คือ เรื่องเงินบาทแข็งค่า และเงินทุนไหลเข้า ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็น “เงินสีเทา”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วานนี้ (21 กันยายน 2568) ได้ประสานกับทางทีมกระทรวงการคลังให้ Connect the Dots ไว้แล้ว โดยให้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง จัดตั้งทีมเพื่อติดตามการเชื่อมโยงข้อมูลเงินทุนไหลเข้าออกผิดปกติหรือไม่ และมีส่วนของเงินสีเทาหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของท่านนายกฯ สั่งวันนี้ ให้ทำเมื่อวาน
โดยวันนี้ (22 กันยายน 2568) สมาคมธนาคารไทยได้ฉายภาพให้เห็นและชี้ในจุดเดียวกันว่า ในเรื่องของค่าเงินนั้นมีหลายส่วนที่เกี่ยวข้องมาก ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานต่างๆ
“เบื้องต้นได้ประสานงานกับปลัดคลัง ให้จัดตั้งทีมติดตามเรื่องของค่าเงินบาท และเงินทุนไหลเข้า เพื่อทำงานร่วมกัน ตอบโจทย์ Connect the Dots เชื่อมโยงให้เห็นว่าเงินมาจากตรงไหนแน่ จะได้เกาให้ถูกที่ แก้ปัญหาให้ตรงจุด โดยหลังจากถวายสัตย์ และแถลงนโยบายแล้ว นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทำงานทันที” นายเอกนิติ กล่าว
ด้าน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า วันนี้ได้มีการพูดถึงประเด็นเงินบาทแข็ค่า และเงินทุนไหลเข้า และได้เรียนท่านนายกฯ ไป สิ่งที่ต้องเร่งทำ คือ การ Connect the Dots
“การขับเคลื่อนของเงินทุนในรูปแบบต่างๆ ผ่านหลายกลไกในระบบตลาดทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาด Physical ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นทั้งระบบธนาคารและไม่ใช่ระบบธนาคาร รวมไปจนถึงการเคลื่อนย้าย กิจกรรมที่เป็น Physical ทั้งหมดนี้เป็นอยู่ระหว่างการเร่ง Connect the Dots ส่วนที่มาของเงินทุนไหลเข้า ทาง ธปท. และ ปปง. กำลังเร่งดำเนินการอยู่” นายผยง กล่าว
ทั้งนี้ จากตัวเลขดุลการชำระเงินของ ธปท. พบว่า ค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions หรือ NEO) ในดุลการชำระเงินของไทย เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ โดยตัวเลขในปี 2564 อยู่ที่ 340,290.37 ล้านบาท ก่อนจะลดลงเป็นลบในปี 2565 ที่ -2,528.18 ล้านบาท แต่ในปี 2566 ตัวเลขกลับพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งที่ 180,404.36 ล้านบาท และในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 530,855.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ในไตรมาส 1/2568 ค่า NEO อยู่ที่ 80,909.45 ล้านบาท
หากคำนวณแบบปีเต็มด้วยอัตราเดียวกัน อาจหมายถึงค่า NEO ในปี 2568 จะสูงถึงประมาณ 323,637.8 ล้านบาท ตามทฤษฎีดุลการชำระเงิน ดุลการชำระเงินจะต้องเท่ากับผลรวมของดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนเสมอ เนื่องจากเป็นระบบการบันทึกแบบสองด้าน (double-entry bookkeeping) ที่ต้องมีทั้งรายการ “รับ” และ “จ่าย” ให้สมดุลกัน แต่ในโลกของความเป็นจริง การเก็บข้อมูลไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกธุรกรรมอย่างสมบูรณ์และทันเวลา จึงเกิดความแตกต่างที่เรียกว่า “ค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ” ขึ้นมา


