


3+




ชาไทยไม่เคยตกยุค "ชาตรามือ" ถึงวันที่เจน 3 ส่งแบรนด์ CTM สู่ตลาด
ชาตรามือ จากร้านเล็ก ๆ ผ่านยุคสงครามสู่แบรนด์พันล้าน ต้นตำรับชาไทยที่มีสาขาในประเทศกว่า 230 แห่ง และร้อยกว่าแห่งใน 13 ประเทศ
KEY
POINTS
- "ชาตรามือ" ตำนาน 80 ปีต้นตำรับชาไทย จากยุคหลังสงครามสู่แบรนด์พันล้าน
- เติบโตมีสาขาในประเทศกว่า 230 แห่ง และร้อยกว่าแห่งใน 13 ประเทศ
- ทายาทรุ่น 3 ปั้นแบรนด์ใหม่ "CTM" พาชาไทยโกอินเตอร์ เตรียมเปิดตัวคอมบูชาแบบพร้อมดื่ม รุกตลาด RTD เต็มตัว
ปี 2488 …โลกเพิ่งผ่านสงครามครั้งใหญ่ และในปีเดียวกันนั้นเอง “ชาตรามือ” ได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทย เส้นทางกว่า 80 ปีของแบรนด์ชาไทยนี้ ไม่เพียงเดินเคียงข้างผู้คนในสังคมไทย แต่ยังค่อย ๆ เติบโตจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก วันนี้ชื่อชาตรามือถูกจดจำในฐานะ “ต้นตำรับชาไทย” ที่สร้างรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทแล้ว ทั้งยังขยายสาขาไปแล้วมากกว่าร้อยสาขาใน 13 ประเทศ
ต้นตำรับชาไทยผู้สร้าง 'Thai Tea' ดังทั่วโลก
พราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพย์ธารี จำกัด ทายาทรุ่น 3 ของธุรกิจชาตรามือ เล่าย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นว่า ทุกอย่างเริ่มต้นจาก 'ซาเหล่าแปะ' คุณลุงของคุณพ่อ ที่เคยทำธุรกิจใบชาอยู่ที่จีน ก่อนอพยพมาไทย และเริ่มต้นใหม่ที่นี่ ในช่วงแรกเพียงแค่นำเข้าชามาจำหน่าย แต่เมื่อออกบูธขาย กลายเป็นว่าลูกค้ามักขอให้ชงชาลองชิม และทุกครั้งที่ได้ลิ้มรส คนก็ประทับใจ นั่นคือสัญญาณแรกที่บอกว่า เครื่องดื่มชาอาจเป็นเส้นทางใหม่ที่น่าลอง
จากใบชาที่ขายเป็นกิโล จึงกลายมาเป็นแก้วชาที่ขายแบบพร้อมดื่ม ร้านแรกของชาตรามือเปิดที่เซ็นเตอร์วัน พร้อมสูตรชาไทยใส่นมและน้ำแข็งที่เหมาะกับอากาศร้อนของบ้านเรา เมนูนี้เองที่ผลักดันให้คำว่า 'Thai Tea' ดังไปไกลจนกลายเป็นเครื่องดื่มที่คนทั้งโลกอยากลิ้มลอง
แม้กระทั่งชื่อแบรนด์ก็มีที่มาไม่ธรรมดา ช่วงแรก ๆ ยังไม่มีใครรู้จักในชื่อชาตรามือ ผู้คนเรียกร้านนี้ตามโลโก้รูปนิ้วบ้างเรียก 'ชาเยี่ยม' บ้างเรียก 'ชายกนิ้ว' หมายถึงอร่อยจนต้องยกนิ้วให้ จนในที่สุดชื่อที่ติดปากก็ถูกนำมาจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ
ตลอด 80 ปี 'ชาตรามือ' ไม่ได้เป็นเพียงร้านขายชา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทยที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างหลงรัก
ปั้นแบรนด์ลูก CTM แยกจากชาตรามือ
ทว่าบทบาทของ พราวนรินทร์ ในฐานะผู้บริหารรุ่นใหม่ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การรักษาสูตรชาไทยดั้งเดิม หากแต่คือการพาชาไปสู่เวทีใหม่ ๆ
เธอและทีมงานจึงสร้าง CTM แบรนด์ชาแนวใหม่ที่แตกไลน์ออกมาจากชาตรามือ เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและหลากหลายกว่าเดิม ที่นี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ชาไทยเพียงแก้วเดียว แต่มีชาเบสมากกว่า 12 ชนิดให้เลือก สกัดสดแก้วต่อแก้ว พร้อมคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจให้ผู้คนเห็น 'ความเป็นชา' ที่มีมิติและร่วมสมัยมากขึ้น
สร้างเวทีใหม่ให้กับชา
พราวนรินทร์ เล่าให้ฟังว่า แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับชาไทยต้นตำรับของชาตรามือ แต่ในคลังชาของแบรนด์ยังซ่อนชาอีกหลากหลายประเภทที่รอให้คนได้รู้จัก เมื่อชาตรามือเปิดร้าน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นแค่การขายชา แต่เป็นการสร้างเวทีให้ชาไทยได้รับความนิยมอย่างแท้จริง และผลตอบรับที่ได้รับก็ทำให้ทุกคนปลื้มใจ
แต่โลกของชาไม่ได้หยุดนิ่ง ตลาดเครื่องดื่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลายขึ้น ทั้งชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ ที่แบ่งเป็นหลายเซ็กเมนต์ สิ่งนี้ทำให้พราวนรินทร์และทีมเห็นโอกาสทำอย่างไรให้ชาอีกหลายประเภทของแบรนด์ได้มีเวทีของตัวเอง
“เราไม่ได้นำชาทั้งหมดไปรวมไว้ในร้านชาตรามือ เพราะชาตรามือมีเอกลักษณ์ชัดเจนในฐานะ ‘ชาไทยดั้งเดิม’ ที่สะท้อนความเป็นไทย การใส่ชาอื่น ๆ เข้าไป อาจทำให้ภาพลักษณ์ไม่ชัดเจนพอ” เธออธิบาย
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ CTM เวทีใหม่สำหรับชาแต่ละประเภท โดยเฉพาะชาเบสหลักในร้านถึง 12 ตัว บางตัวเคยจำหน่ายมาก่อน ส่วนบางตัวก็เป็นชามัทฉะแบบ ceremonial นำเข้าจากญี่ปุ่น
CTM มาพร้อมคอนเซ็ปต์ 'แรงบันดาลใจจากใบชา' มองว่าการดื่มชาไม่ใช่แค่การดื่ม แต่เป็นศิลปะที่สร้างความเพลิดเพลิน เมนูต่าง ๆ จึงมีลูกเล่น ทั้งผลไม้สด ท็อปปิ้ง และส่วนผสมแปลกใหม่ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาความน่าสนใจและแปลกใหม่ แบรนด์ตั้งใจสร้างภาพลักษณ์ให้ ร่วมสมัยและสากล โดยไม่ยึดติดกับความเป็นไทยหรือดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว
"ร้าน CTM เน้นความเป็น specialty และไลฟ์สไตล์ ใกล้ชิดผู้คนเหมือนชาตรามือ แต่ตั้งอยู่ในทำเลชีวิตประจำวัน เช่น ย่านใจกลางเมือง (CBD) หรือห้างสรรพสินค้า ราคาเริ่มต้นประมาณ 70 บาท และเมนูพิเศษอาจสูงถึงกว่า 200 บาท"
พราวนรินทร์ชี้ว่าผู้บริโภคยุคนี้กล้าที่จะจ่ายมากขึ้น เครื่องดื่มแก้วละ 100–200 บาทไม่ใช่เรื่องไกลตัว การใช้ชื่อ CTM มาจากคำว่า Captivating Tea Muse ไม่ใช่ Cha Tra Mue แต่ก็ยังเป็นการบอกใบ้ถึงแบรนด์แม่ชาตรามือ แต่เราไม่ใช้โลโก้ชาตรามือโดยตรง เพื่อให้ CTM สร้างเอกลักษณ์ของตัวเองได้เต็มที่
เป้าหมายสำคัญคือ ขยายตลาดชา ให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และดื่มชามากกว่าที่เคย จากเดิมอาจดื่มเพียง 3 แก้วต่อสัปดาห์ เมนูใหม่ ๆ จะทำให้ลูกค้าลองเพิ่มเป็น 5 แก้วต่อสัปดาห์ หรือบางคนดื่มวันละ 2 แก้ว ก็ถือเป็นการขยายฐานและสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับแบรนด์
ทั้งนี้ CTM เปิดสาขาแรกที่ Central Park หากได้รับการตอบรับที่ดี จะมีการขยายสาขาออกไปที่อื่น แน่นอน แต่ต้องดูความพร้อม หรือต้องการของแต่ละแห่ง แต่ยังคงปักหลักตามแหล่ง CBD หรือใจกลางเมืองเป็นหลักก่อน
[ชาตรามือ เปิดแบรนด์ใหม่ "CTM" สกัดแก้วต่อแก้ว สาขาแรก Central Park ]
ชาตรามือสู่โกลบอลแบรนด์
ในภาพรวมของชาตรามือ พราวนรินทร์ กล่าว่า ปัจจุบันมีสาขาในประเทศประมาณ 225-230 แห่ง และสาขาในต่างประเทศอีกประมาณ 130 แห่ง ใน 13 ประเทศ การรุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจังเริ่มมาประมาณ 15-20 ปี และในปัจจุบันยอดขายจากต่างประเทศคิดเป็น 30% ของยอดขายรวม โดยประเทศที่เติบโตเร็วคือมาเลเซีย หากดูเฉพาะจำนวนสาขาที่มีมากกว่า 40 สาขา
ซึ่งเราก็หวังว่าจะไปสู่ Global Brand แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาค่อยเป็นค่อยไป ที่ผ่านมาชาตรามือยังมีการขยายไปในทวีปใหม่ๆ เช่น แคนาดา และมีแผนจะเปิด pop-up ที่ลอนดอนในปีนี้ รวมถึงอาจเปิดร้านจริงในปีหน้า และปลายปีอาจมีแผนเปิดที่เม็กซิโก ซึ่งโดยเฉลี่ยการเปิดสาขาในประเทศอยู่ที่ 30 สาขาต่อปี และต่างประเทศราว ๆ 10 สาขาต่อปี
ในการเลือกประเทศที่จะไปเปิด เรามีเกณฑ์สำคัญ 2 ส่วนคือ
- ขนาดและศักยภาพของตลาด ต้องมีฐานผู้บริโภคที่แข็งแรง
- ผู้ดำเนินการ (Operator) ต้องเป็นคนที่รักและเข้าใจแบรนด์ มีความตั้งใจจริง และรู้จักตลาดท้องถิ่น เพราะแต่ละเมือง แต่ละประเทศมีพฤติกรรมผู้บริโภคต่างกัน เช่น เมืองในอเมริกากับเอเชียย่อมไม่เหมือนกัน
ปัจจุบัน ชาตรามือมีสาขาใน 13 ประเทศ ฟีดแบ็กแตกต่างกันไป เช่น เวียดนามเปิดวันแรก ลูกค้าแน่นร้านทันที ส่วนแคนาดาก็ได้รับการตอบรับดีเช่นกัน แต่ถ้าดูในแง่ จำนวนสาขา มาเลเซีย ถือว่าเติบโตมากที่สุด
ถามว่าทำไมมาเลเซียถึงเป็นตลาดที่เติบโตสูงสุด? เพราะวัฒนธรรมการดื่มชาของคนมาเลเซียแข็งแรงอยู่แล้ว พวกเขานิยมดื่มชาเป็นประจำ และเมื่อเจอรสชาติชาไทยซึ่งมีเอกลักษณ์เข้มข้น กลมกล่อม จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จริง ๆ แล้วชาไทยคือ 'ชาดำ' ที่ให้โปรไฟล์รสชาติชัดเจน และแม้จะปลูกต่างแหล่งกันก็จะได้รสที่แตกต่างกัน เหมือนกับมัทฉะที่แหล่งปลูกต่างกันย่อมให้รสไม่เหมือนกัน นี่คือเสน่ห์ของชา และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคติดใจ
อย่างไรก็ตามหากจะเปรียบเทียบแบบเรทต่อสาขา หรือการเติบโตเฉลี่ยต่อหนึ่งสาขา ยังต้องไปเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียด
เธอกล่าวอีกว่า ความท้าทายในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ คือการศึกษาตลาด กฎหมาย และการหาพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจและตั้งใจทำแบรนด์ โดยเฉพาะตลาดจีนมีความซับซ้อนในเรื่องของกฎหมาย แอปพลิเคชันที่หลากหลาย การเติบโตอย่างยั่งยืนและการพัฒนาตัวเองและทีมงานภายในจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบันชาตรามือมีพนักงานรวมกว่า 1,000 คน
พร้อมลุยตลาดใหม่ด้วย Ready-to-Drink
สำหรับแผนใน ปี 2569 นอกจากการทดลองตลาดของแบรนด์ใหม่ CTM ขยายสาขาชาตรามือแล้ว ยังจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่คือ คอมบูชา (Kombucha) ในรูปแบบ Ready-to-Drink (RTD) ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายที่ร้านก่อน และอาจขยายไปซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตในอนาคต
ทั้งนี้ พราวนรินทร์ มองว่าการเปิดร้านชาเพียงอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์ตลาดทั้งหมด เพราะยังมีช่องทางอื่นที่สำคัญ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือแม้แต่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งลูกค้าอาจไม่สะดวกชงเอง การมีสินค้าพร้อมดื่มจึงง่ายกว่า และช่วยเพิ่มโอกาสให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น
การเลือกทำคอมบูชา เพราะเรามองว่าเป็นเทรนด์ที่มาแรง และยังเหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบันเรามีสินค้าออกมาเพียง 1 ตัวก่อน โดยเน้นคุณภาพและรสชาติที่ดีเป็นหลัก ส่วนในอนาคตจะพิจารณาตัวอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ส่วนการขยายช่องทาง ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงพิจารณา ทั้งการเข้าสู่โมเดิร์นเทรดหรือไฮเปอร์มาร์เก็ต
ในส่วนของแอปพลิเคชันของ ชาตรามือ กำลังจะเปิดใช้งานเร็ว ๆ นี้ ส่วน CTM ตอนนี้ยังไม่ได้ทำเป็นแอป แต่มีระบบเก็บพอยต์ในลักษณะสมาชิกทั่วไป ซึ่งตั้งใจให้แยกจากกันเพื่อไม่ให้ลูกค้าสับสน
เป้าหมายโกลบอลแบรนด์ต้องปักหมุดตลาดหลัก
เมื่อพูดถึงเป้าหมายการเป็น Global Brand จริง ๆ เธอกล่าวว่า ไม่ได้วัดกันที่จำนวนประเทศ แต่ต้องสามารถปักหมุดในตลาดหลัก ๆ ให้ได้ เช่น สหรัฐฯ ลอนดอน จีน หรือประเทศที่มีวัฒนธรรมการดื่มชาอยู่แล้ว อย่างอินเดีย ซึ่งถ้าไปยืนได้ในตลาดเหล่านี้ จะสร้างการรับรู้และภาพลักษณ์ในระดับโลกได้
แต่ละประเทศก็มีความท้าทายต่างกันไป เช่น จีน ถือว่าเป็นตลาดที่ยากที่สุด ต้องทำการบ้านเยอะมาก ทั้งเรื่องกฎหมาย คู่ค้า พฤติกรรมผู้บริโภค ไปจนถึงการปรับใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เพราะที่นั่นมีแอปนับร้อยที่ไม่เหมือนกับประเทศอื่น ๆ อีกทั้งการแข่งขันสูงทำให้ต้องรอบคอบเป็นพิเศษ
ทั้งหมดนี้คือโจทย์ที่เราต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แบรนด์สามารถเติบโตทั้งในประเทศและระดับโลกได้จริง
ความท้าทายที่สุด ของการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่การขยายสาขา แต่คือการทำให้แบรนด์เติบโตอย่าง ยั่งยืน ซึ่งก่อนอื่นเราต้องพัฒนาตัวเองและทีมงานภายในให้แข็งแรง พร้อมรับมือกับปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่เริ่มเข้ามามากขึ้น หรือสภาพตลาดในต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงเร็ว



3+






