posttoday

สภาพัฒน์ เผยจีน–สหรัฐตึงเครียด ชี้ชะตาการค้าไทย GDP โตช้า

27 สิงหาคม 2568

สภาพัฒน์ ชี้ ความตึงเครียดจีน–สหรัฐฯ ชี้ชะตาการค้าไทย เศรษฐกิจติดกับดัก GDP โตช้าลง โครงสร้างเปราะบาง ธุรกิจ ไม่จ้างพนักงานประจำเปลี่ยนจ้างพาร์ทไทม์

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวปาฐกถาเรื่อง พลวัตเศรษฐกิจโลกกับโจทย์ใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนา ในงาน อนาคตเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจสีเขียว จัดโดย สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากความเปลี่ยนแปลงของโลกและความไม่ลงรอยระหว่างสองมหาอำนาจ คือ จีนและสหรัฐฯ นโยบายของทั้งสองประเทศแตกต่างกันอย่างชัดเจน และส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจและการค้าของไทย

 

ในขณะที่จีนยังเดินหน้าแผนพัฒนาเศรษฐกิจ Mad in China 2025 โดยมุ่งเน้น 10 อุตสาหกรรมหลักที่จีนต้องการเป็นหนึ่ง ซึ่งหลายอย่างประสบความสำเร็จไปแล้ว เช่น รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานโซลาร์ โดรน เทคโนโลยี 5G และ AI รวมถึงการแปรรูปแร่หายาก ซึ่งจีนประสบความสำเร็จและพยายามลดการพึ่งพาต่างประเทศ (Decoupling) โดยเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บภาษีและลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ

 

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ปรับนโยบายการค้าแบบปกป้องตัวเอง เพิ่มภาษีนำเข้า (Tariff) เฉลี่ย 15–20% บางประเทศถึง 50% กลายเป็นโลกที่มีแต่ภาษีเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้กรอบการค้าพหุภาคี เช่น WTO และ TPP ถูกบั่นทอน อเมริกายังถอนตัวจาก WHO และ US AID ส่งผลต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ

 

ดร.ศุภวุฒิ กล่าวต่อว่า ผลกระทบต่อไทยต้องปรับตัวในหลายมิติ เพราะความสัมพันธ์จีน–สหรัฐฯ ส่งผลโดยตรงต่อการค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เลือกข้าง หรือการควบคุมการส่งออก (Export Control) ทำให้ไทยต้องระมัดระวังในการค้ากับทั้งสองฝ่าย

 

โครงสร้างไทยยังเปราะบาง 

 

นอกจากความท้าทายจากภายนอกแล้ว ดร.ศุภวุฒิยังกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทยที่ต้องเร่งแก้ไขคือ 1.หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นปัญหาที่กัดกร่อนความสามารถในการเติบโตของประเทศ 2.สังคมผู้สูงอายุ ทำให้จำนวนแรงงานลดลงและมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขสูงขึ้น 3.คุณภาพการศึกษาที่ทดถอย ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และ 4.ภาคเกษตรกรรมซึ่งมีประสิทธิภาพในการผลิตต่ำและต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมาก

 

GDP ของไทยโตช้าลงเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันการขยายตัวบวกเงินเฟ้อก็ต่ำลงไปด้วย เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้า การขยายตัว GDP บวกเงินเฟ้อสำคัญ เพราะว่า GDP ที่บวกเงินเฟ้อโต คือยอดขายทุกปีที่เพิ่มขึ้น สมัยก่อนค้าขาย ทำธุรกิจ ยอดขายโต 10% อยู่ค่อนข้างสบาย แต่ตอนนี้ยอดขายโต 2% โดยเฉลี่ย ถือว่าลำบาก ดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการต้องจ่าย คิดที่ 7% แต่ยอดขายหล่นลงมาเหลือแค่ 2% ต้นทุนการผลิตขึ้น ตอนหลังบริษัทต่าง ๆ เริ่มลดการจ้างงานพนักงานถาวร หันไปจ้างพนักงานพาร์ไทม์แทน เป็นต้น เราต้องกลับมาแก้ให้ได้ 

 

ดุลงบประมาณต่อ GDP แปลว่ารัฐบาลอุ้มเศรษฐกิจเท่าไหร่? ต้นค.ศ. 1990 เศรษฐกิจอุ้มรัฐบาล เพราะรัฐบาลเกินดุลงบเฉลี่ย 2.9% ของ GDP เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องดึงเศรษฐกิจ เก็บภาษีเยอะ ใช้เงินน้อยๆ มาถึงวันนี้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 5% เพื่อให้ GDP โตได้ครึ่งเปอร์เซ็นช่วงโควิด และ ณ ตอนนี้ GDP โต 2% รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 4% ถ้าไม่ขาด GDP ติดลบเราอยู่ไม่ได้ 

 

ไทยยังมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 9.28 ล้านล้านบาท 

 

ดร.ศุภวุฒิ กล่าวต่อว่า ถามว่าวันนี้ประเทศไทยยังมีอะไรเหลือไหม ? เรายังมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก หากดูตัวเลขทุนสำรองของโลกอยู่ที่ 12.36 ล้านล้าน คิดเป็น GDP ของโลก ประมาณ 10% ประเทศไทยมีทุนสำรองประมาณ 9.28 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50% ของ GDP สามารถนำมาใช้สนับสนุนการลงทุนของประเทศ เรามีองค์กรบริหารจัดการทรัพย์สิน เราต้องบริหารจัดการสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงเศรษฐกิจ

 

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมซีเกมส์ 2025 วันนี้ 15 ธ.ค. 68 ลิ้งก์ดูสด ถ่ายทอดสดช่องไหน