posttoday

"พิชัย"ชี้ภาษีทรัมป์ 19%ทำไทยได้เปรียบการแข่งขันหนุนส่งออกโต

04 สิงหาคม 2568

"พิชัย"ชี้สหรัฐเก็บภาษี19%ไทยได้เปรียบการแข่งขันกับเวียดนามที่ถูกเก็บอัตรา 20% และเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยเติบโตต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ชี้ว่าการที่สหรัฐฯ เก็บภาษีไทย 19% ทำให้ไทยได้เปรียบในการแข่งขันกับเวียดนามที่ถูกเก็บ 20% ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออก
  • การส่งออกที่ขยายตัวสูงและการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ เป็นปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทย (GDP) เติบโตได้ 2-3% ในปีนี้
  • มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลบริหารค่าเงินบาทให้อ่อนลง เร่งเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ๆ และเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเพื่อรับมือกับภาษีดังกล่าว

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิชัย นริพทะพันธุ์ แสดงความเห็นว่าการที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ ภาษี Tariff จากไทยในอัตรา 19% จะทำให้ไทยได้เปรียบในการแข่งขันกับหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามที่ถูกเก็บในอัตรา 20% ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยเติบโตต่อเนื่อง

 

การส่งออกและการลงทุนยังคงเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายพิชัย มั่นใจว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะเป็น "พระเอก" ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกขยายตัวสูงถึง 15% และคาดว่าตลอดทั้งปีจะยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ใกล้เคียงกับตัวเลขสองหลัก ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการปรับโครงสร้างการส่งออก การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นจากการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ที่มีมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การเร่งส่งออกเพื่อเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ เท่านั้น

นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีคำขอส่งเสริมการลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.05 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น แผงวงจรไฟฟ้า (PCB), เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, AI, รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งจะเป็น S-Curve ใหม่ของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าการลงทุนจริงจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้เกือบทั้งหมด

จากปัจจัยบวกเหล่านี้ พิชัยประเมินว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ 2-3% และคาดว่าจะดีขึ้นในปีต่อไป โดยหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปเป็นจำนวนมาก

ข้อเสนอแนะเพื่อลดผลกระทบจากภาษีทรัมป์

เพื่อให้ไทยสามารถรับมือกับภาษี Tariff 19% นายพิชัยได้เสนอแนวทางดังนี้:

บริหารจัดการค่าเงินบาทให้อ่อนตัวลง: เพื่อให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไป

เร่งเจรจา FTA: ควรเร่งการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (EU) ให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้ไทยมีคู่ค้าเพิ่มขึ้นอีก 27 ประเทศในยุโรป นอกจากนี้ยังมีการเจรจากับเกาหลีใต้, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และอาเซียน-แคนาดาที่คาดว่าจะสำเร็จก่อนสิ้นปีนี้

เตรียมมาตรการเยียวยา: แม้ว่าโดยรวมแล้วประเทศไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าเสีย แต่รัฐบาลต้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีรายได้น้อย พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

นายพิชัยสรุปว่าเศรษฐกิจไทยกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวและจะสามารถเติบโตต่อไปได้ หากสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินที่สะสมมานานกว่า 10 ปีได้ โดยการเพิ่ม GDP จากการส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข่าวล่าสุด

Gemini ใน Google สู่การแปล 20 ภาษาผ่านหูฟังแบบเรียลไทม์