ธปท.ชี้ภาษีทรัมป์ ฉุดส่งออกทรุด เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% นานปีครึ่ง
ธปท. ชี้ภาษีทรัมป์ ฉุดครึ่งปีหลัง ส่งออกหดตัว 4% เศรษฐกิจไทยโต 1.6% รวมทั้งปี 68 GDP โต 2.3% ก่อนโตเหลือ 1.7% ในปี 69 หรือโตต่ำกว่า 2% อย่างน้อยอีกปีครึ่ง
นางสาวบัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกปี 2568 ขยายตัว 2.9% จากภาคการผลิต และการเร่งส่งออกสินค้า แต่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะถัดไป ประเมินครึ่งหลังปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.6% เป็นผลกระทบจากการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัว 4% ในช่วงครึ่งปีหลัง ต่อเนื่องปี 2569 ส่งออกหดตัว 2% ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เมื่อรวมทั้งปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.3% ส่วนปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.7% เป็นผลจากการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวรุนแรงตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2568 ต่อเนื่องปี 2569 การลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำมาก รวมทั้งการบริโภคที่ชะลอตัวลง เป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าที่จะมีการขยายตัวได้ต่ำกว่า 2% อย่างน้อยอีกปีครึ่ง
โดยเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 และปี 2569 มีความเสี่ยงไปทางด้านต่ำ และมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ
1. พัฒนาการของการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ (Trade War) และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
2. ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ
3. ความตึงตัวของสินเชื่อในบางจุด ที่อาจะกระทบกลุ่มเปราะบางและ SMEs มากกว่าที่คาด
นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 เศรษฐกิจไทยแผ่วลง ไม่ว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราเท่าใดก็ตาม เศรษฐกิจไทยจากนี้ไปชะลอลงพอสมควร และขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ดังนั้นการลดดอกเบี้ย อาจจะช่วยลดภาระหนี้ได้บ้าง แต่ไม่ได้เกิดการขอสินเชื่อใหม่ เพราะอุปสงค์ลดลง จึงต้องชั่งน้ำหนัก
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ปี 2568 อยู่ที่ 0.5% ส่วนปี 2569 อยู่ที่ 0.8% ซึ่งเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำ เป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน และอาหารสดเป็นหลัก แต่ไม่ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นๆ ในตะกร้าคำนวณเงินเฟ้อลดลงเป็นวงกว้าง ในขณะที่ราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคยังปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ จากเหตุผลดังกล่าว เป็นการสนับสนุนด้วยว่าประเทศไทยไม่ได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดแต่อย่างใด
สำหรับภาพรวมภาวะการเงินไทยนั้น สินเชื่อหดตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการชำระคืนหนี้ และความต้องการสินเชื่อที่ลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินมีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังทรงตัว แต่สินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย คุณภาพด้อยลง
ขณะที่สถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน พบว่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 2/2568 เคลื่อนไหวผันผวน และมีค่าเฉลี่ยที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากปัจจัยภาคนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีทิศทางอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับคาดการณ์การปรับลด Fed fund rate จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาค รวมถึงค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาทยังสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
โดย key message หลัก คือ นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนการพิจารณาการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า จำเป็นต้องพิจารณาความสำคัญของจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงิน ภายใต้บริบทที่มีความไม่แน่นอนสูงเป็นสำคัญดังเช่นในช่วงนี้
ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูงนี้ จะต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด รวมทั้งประสิทธิผลที่ลดทอน ภายใต้บริบทอัตราดอกเบี้ยต่ำ และเศรษฐกิจที่เผชิญความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งความท้าทายส่วนหนึ่ง ที่มีสาเหตุจากความสามารถในการแข่งขัน และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป


