ฤทธิชัย สายสุวรรณ : พลิกวิกฤต Charlie Brown สู่ Snoopy Run

จากขาดทุนตั้งแต่ วันแรก สู่กำไรในปีที่ 13!  พาไปเจาะลึกถึงมุมมองทางธุรกิจและแนวคิดของ ฤทธิชัย สายสุวรรณ  Managing Director / CEO ของ Charlie and Friend และ FUNTERTAINMENT Company Limited ผู้จัดงานวิ่ง Snoopy Run เจ้าของ ลิขสิทธิ์ Snoopy จากสหรัฐอเมริกามาสู่ประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว 

ที่ทำให้ Charlie and Friend ซึ่งเคยขาดทุนมาตลอด 12 ปี สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในปีที่ 13 ด้วยกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการต่อยอดจากธุรกิจคาเฟ่ไปสู่การจัดงาน Snoopy Run ฟันรันที่โดนใจแฟนคลับ

ปิดฉาก Charlie Brown Cafe สู่การรีแบรนด์เป็น Snoopy Café และกลยุทธ์การขยายธุรกิจใหม่

Charlie Brown Cafe ซึ่งฤทธิชัยได้เข้ามารับช่วงต่อและบริหารมาเป็นระยะเวลา 13 ปี กำลังจะปิดฉากลง โดยสาขาพระราม 3 เป็นสาขาสุดท้ายของโลกภายใต้แบรนด์ Charlie Brown Cafe ที่เหลืออยู่ การตัดสินใจครั้งนี้มาจากการเล็งเห็นถึงปัญหาด้านการสื่อสารแบรนด์ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับตัวละคร Charlie Brown มากเท่ากับ Snoopy ซึ่งเป็นตัวละครหลักในซีรีส์ Peanuts

"ตอนแรกที่ทำคาเฟ่ โจทย์มันมาเลยว่าให้ใช้โลโก้ Charlie Brown เพราะเขาบอกว่าถ้าทำเกี่ยวกับ F&B แบรนดิ้งมันควรจะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สุนัข แต่เราก็พยายามบอกเขามาตลอดว่าเราสามารถสื่อสารเป็น Snoopy ได้นะ" ฤทธิชัยกล่าว

จากประสบการณ์ที่ได้เห็นความสำเร็จของ Peanuts Cafe ในญี่ปุ่น ซึ่งแม้จะใช้โลโก้ Snoopy แต่ชื่อแบรนด์เป็น Peanuts (ชื่อการ์ตูน Peanuts หรือสนูปปี้ ที่คนไทยรู้จัก) ฤทธิชัยจึงได้นำเสนอแนวคิดการเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Snoopy Cafe ให้กับทางสำนักงานใหญ่ และในที่สุดก็ได้รับการอนุมัติหลังจากรอคอยมานานกว่า 10 ปี

Snoopy Cafe สาขาแรกภายใต้แนวคิดใหม่นี้จะปักหมุด ณ โรงแรม The Quarter ลาดพร้าว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์จากการเปิดในห้างสรรพสินค้าทั้งหมดมาเป็นการเปิดร่วมกับโรงแรม เนื่องจากเล็งเห็นว่าการเป็น Standalone จะช่วยให้ควบคุมเวลาเปิด-ปิดได้ยืดหยุ่นกว่า และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้มากขึ้น โดยสาขาพระราม 3 ที่เป็น Standalone พบว่ามีชาวต่างชาติมาใช้บริการเพิ่มขึ้นเกือบ 30-40%
 

จุดเด่นของ Snoopy Cafe ที่ The Quarter ลาดพร้าว

ทำเลที่ตั้ง : อยู่ติดกับล็อบบี้โรงแรม ทำให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ง่าย

บริการอาหารเช้า: จะให้บริการอาหารเช้าแก่แขกของโรงแรม ซึ่งปกติจะต้องไปทานที่ชั้น 6

กลุ่มลูกค้า : รองรับทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยที่มาพักเพื่อสัมมนาหรือเข้าร่วมกิจกรรมใกล้เคียง

ผสานธุรกิจ Merchandise : จุดที่แตกต่างและเป็นกลยุทธ์สำคัญคือการมีโซน Merchandise Store ที่จำหน่ายสินค้า Snoopy ลิขสิทธิ์แท้ในราคาที่คนไทยจับต้องได้ โดยคุณฤทธิชัยสามารถผลิตสินค้าเองได้ภายใต้สัญญาลิขสิทธิ์

"ตลาด merchandise ในญี่ปุ่นโตมาก แต่ในบ้านเรายังไม่ค่อยมีคนผลิตสินค้าเหล่านี้ ถ้าเราไปรอให้คนอื่นมาซื้อลิขสิทธิ์ไปทำ เราก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นเราเป็น F&B เราเลยขอทำ merchandise เองเลย" พี่เอ๋ ฤทธิชัยกล่าวและเสริมว่าสินค้าที่ร้าน Charlie Brown Cafe สาขาพระราม 3 ที่ทำอยู่ปัจจุบัน เช่น แก้วน้ำ หรือเสื้อยืด จะมีการระบุคำว่า "Thailand" ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก" ฤทธิชัย เสริมอย่างมีแพสชั่น

นอกจากการขยายสาขา Snoopy Cafe  ฤทธิชัยยังมีแผนต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์ Snoopy ไปสู่ Snoopy Hotel ในอนาคต ซึ่งจะผนวกเอาคาเฟ่และพื้นที่จำหน่ายสินค้าเข้าไปด้วยกัน

75 ปี Snoopy: กิจกรรมในต่างประเทศและแผนงานในประเทศไทย

ปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 75 ปี ของการ์ตูน Peanuts และตัวละคร Snoopy ซึ่งเป็นที่รู้จักและมีแฟนคลับทั่วโลก ในต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น Snoopy ได้รับความนิยมอย่างสูงและมีการจัดกิจกรรม รวมถึงการจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย คุณฤทธิชัยกล่าวว่า "การ์ตูนเรื่องนี้ปีนี้เป็นปีที่ครบ 75 ปี แฟนคลับเริ่มส่งต่อกันมา ตอนนี้กลุ่มอายุต่ำสุดที่เริ่มสะสมและชอบ Snoopy อยู่ที่ประมาณ 20 กว่าๆ อาจเป็นเพราะเป็นน้องหมาด้วย"

สำหรับประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 75 ปีนี้ นอกจากการรีแบรนด์และขยายสาขา Snoopy Cafe แล้ว FUNTERTAINMENT Company Limited ยังได้นำลิขสิทธิ์ Snoopy มาต่อยอดในธุรกิจงานวิ่ง "Snoopy Run" ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาทำกำไรได้

สร้างธุรกิจจาก Passion: จากที่ปรึกษา สู่เจ้าของ และการแตกไลน์ธุรกิจ

ฤทธิชัย สายสุวรรณ เดิมเป็นผู้ที่หลงใหลในการ์ตูนและคาแรคเตอร์ต่างๆ และเคยทำงานอยู่ในแวดวงภาพยนตร์ เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับเจ้าของ Charlie Brown Cafe เดิม ซึ่งประสบปัญหาในการบริหารจัดการ เนื่องจากไม่มีความรู้ด้าน F&B โดยเฉพาะการตั้งราคาและการควบคุมต้นทุน

"เจ้าของไม่มี Knowledge ทางด้านนี้เลย ทำให้มีปัญหาเรื่องการตั้งคอร์ส อย่างวาฟเฟิล 390 บาท มี Snoopy ปั๊มอยู่หน่อย คนก็กินวันเดียว ถ่ายรูปก็พอแล้ว เดือนหน้าก็ไม่ไปแล้ว" คุณฤทธิชัยเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

ด้วยความที่ตัวเขาเองเป็นนักสะสม Snoopy อยู่แล้ว จึงสามารถอธิบายและให้คำแนะนำได้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำธุรกิจคาแรคเตอร์คาเฟ่ ซึ่งไม่ใช่แค่การนำโลโก้ไปแปะบนอาหาร แต่ต้องคำนึงถึงต้นทุนและการตั้งราคาที่เหมาะสม

"ธุรกิจเกี่ยวกับคาแรคเตอร์ต้องเป็น Passion ต้องชอบ" ฤทธิชัยเน้นย้ำถึงหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจนี้ "Charlie Brown Cafe ขาดทุนมาทุกปี จากขาดทุนหลักล้านค่อยๆ ลดลง จนมาปีนี้ เป็นปีที่ 13 ที่ไม่ขาดทุนแล้ว เพราะมี Snoopy Run เข้ามาช่วยโปรโมทคาเฟ่"

กระแส Character Run กับปรากฏการณ์ใหม่ให้ธุรกิจวิ่งเมืองไทย : Snoopy Run

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีงานวิ่งจำนวนมากที่สุดในเอเชีย โดยมีงานวิ่งมากกว่า 2,000-3,000 งานต่อปี ซึ่พี่เอ๋เล็งเห็นโอกาสในการนำคาแรคเตอร์ Snoopy มาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับธุรกิจวิ่งในประเทศไทย

Snoopy Run ครั้งแรกที่หัวหิน-ปราณบุรี

ความสำเร็จเกินคาด : งานวิ่งครั้งแรกที่ปราณบุรีได้รับผลตอบรับดีเกินคาด มีผู้สมัครทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 700 คน ไปถึงกว่า 1,400 คน โดย 96% เป็นคนกรุงเทพฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีฐานแฟนคลับ Snoopy ที่พร้อมเดินทางเข้าร่วมกิจกรรม

จุดเด่น "Pet Friendly": หนึ่งในกิจกรรมที่โดนใจแฟนคลับคือการวิ่งกับน้องหมา ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงที่ต้องการทำกิจกรรมร่วมกับสุนัขของตนเอง

ของที่ระลึกที่น่าสะสม: ผู้เข้าร่วมงานได้รับของที่ระลึก (Merchandise) ที่ออกแบบเป็นพิเศษและมีคุณภาพดี เช่น เหรียญรางวัลที่มีถึง 4 แบบต่อสนาม ทำให้ผู้เข้าร่วมงานต้องการสะสมให้ครบชุด

"ในทุกประเทศที่จัด Snoopy Run มาก่อน เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน และจีน พวกเขาจัดกันแค่ปีละครั้ง แต่ตอนที่ผมไปขอลิขสิทธิ์ ผมขอปีละ 5 ครั้ง โดย 3 ครั้งเป็นการวิ่งแบบ Physical Run และ 2 ครั้งเป็น Virtual Run" คุณฤทธิชัยกล่าว

เหตุที่ Snoopy Run ได้รับอนุญาตให้จัด 5 ครั้งต่อปี 

ประเทศไทยมีงานวิ่งเยอะ: เป็นประเทศที่มีงานวิ่งมากที่สุดในเอเชียในแต่ละปีมีหลักร้อยเกือบพันงาน

การโปรโมทตัวละครอย่างต่อเนื่อง: การจัดงานวิ่งต่อเนื่องตลอดปีจะช่วยให้คนรู้จัก Snoopy มากขึ้น และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

ของที่ระลึกดึงดูดใจ : ผู้สมัครส่วนใหญ่ไม่ได้อยากวิ่งเพื่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการได้ของที่ระลึกที่เป็น Snoopy Limited Edition

The next Snoopy Run  

สำหรับ กรุงเทพฯ : จัดขึ้นที่อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ วันที่ 30 สิงหาคม คาดการณ์ผู้เข้าร่วม 3,500 คน มีระยะทาง 1.5 กม. (วิ่งกับน้องหมา), 3 กม. (สำหรับแฟนคลับทั่วไป), และ 7.5 กม. (ซึ่งเป็นระยะที่อ้างอิงจากวาระ 75 ปี Snoopy)

ต่อที่ เขาใหญ่: จัดขึ้นที่โบนันซ่า เขาใหญ่ งานนี้ร่วมกับ AIA ซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลัก ระยะทาง 1.5 กม. สำหรับแม่และเด็ก (ไม่ใช่เฉพาะน้องหมา) คาดการณ์ผู้เข้าร่วม 8,000 คน

เหตุที่มีจัดให้แม่และเด็กด้วย เพราะเราต้องหากิจกรรมให้คุณลูกและแม่บ้านทำ เพราะคุณพ่อไปวิ่งเทรลแล้ว ระยะยทางวิ่ง 1.5 กม.เหมาะกับกลุ่มแม่บ้านมากที่สุด ฤทธิชัยเสริมถึงจุดนี้

การจัดการงาน Snoopy Run ประสบความสำเร็จอย่างสูงและช่วยกระตุ้นยอดขายของ Charlie Brown Cafe สาขาพระราม 3 ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ 4,000-5,000 บาท เป็น 15,000 บาทต่อวัน รวมถึงจำนวนผู้ติดตามในเพจของร้านก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีการโพสต์กิจกรรมงานวิ่ง

คาดหวัง Snoopy Run ดึงแฟนคลับทั่วโลก 

ประเด็นนี้ฤทธิชัยคาดหวังว่า Snoopy Run จะเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดแฟนคลับ Snoopy จากทั่วโลกให้เข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ 

นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนนักวิ่งกับต่างประเทศ เช่น การส่งผู้ชนะ Snoopy Run สนามกรุงเทพฯ 2 คน ไปร่วมงาน Snoopy Run ที่ไต้หวันในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นงานที่ปกติแล้วจำกัดเฉพาะคนไต้หวันเท่านั้น

การบริหารจัดการงาน

ฤทธิชัยเน้นย้ำถึงการบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะในธุรกิจคาเฟ่ที่มีวัตถุดิบสิ้นเปลืองสูง เขานำหลักการ "Frozen Food" มาใช้ในการเตรียมวัตถุดิบอาหารบางประเภท เพื่อลดการสูญเสียและควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการเลือกทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายและมีการบริหารจัดการพนักงานโดยพิจารณาจากความคุ้นเคยและประสบการณ์

สำหรับงานวิ่งที่ใหญ่และต้องรองรับคุนเยอะๆนั้น ฤทธิชัยใช้การ Outsource การจัดการด้านต่างๆ เช่น การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้งานเป็นไปตามกฎระเบียบและมาตรฐานสากล

"ตราบใดที่ไม่มีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาอีก งานวิ่งยังไปได้ตลอด เพราะคนวิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ และมีการแบ่ง Segment ชัดเจน เช่น วิ่งเพื่อแฟชั่น วิ่งเพื่อหาเพื่อน หรือวิ่งเพราะอยากได้ของที่ระลึก" ผู้บริหารCharlie Brown Cafe ปิดท้าย