ดร.กอบศักดิ์ ชี้ปี 68 เศรษฐกิจไม่ง่าย ส่งออกอ่อนแรง-ธุรกิจปิดตัว
ดร.กอบศักดิ์ มองเศรษฐกิจไทยปี 68 ไม่ง่าย ส่งออกครึ่งปีหลังอ่อนแรง ท่องเที่ยวชะลอ ยอดขายร้านสะดวกซื้อหดตัว แต่ยังมีโอกาสจากการลงทุนต่างชาติ
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า ธนาคารกรุงเทพ เคยประเมินไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าจีดีพีจะขยายตัวประมาณ 3% ล่าสุดได้ปรับลดประมาณการลงมาอยู่ที่ 2% จากความเสี่ยงขาลง หลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่กดดันเศรษฐกิจมากกว่าคาด
“ตอนแรกเราคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะได้แรงหนุนจากส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนโดยตรง และมาตรการภาครัฐ แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสอง พบว่าหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งสงครามการค้า ความไม่แน่นอนจากนโยบายของทรัมป์ แรงต้านจากนักท่องเที่ยวที่ลดลง ความไม่แน่นอนทางการเมือง”
- การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังอ่อนแรงลง
ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า ในเรื่องการส่งออก ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างไร เพราะในช่วงต้นปีตัวเลขส่งออกดูดีเพราะคู่ค้าบางประเทศเร่งสั่งซื้อสินค้า เนื่องจากกังวลเรื่องภาษีในช่วงปลายปี แต่หลังไตรมาสสอง ความต้องการอาจชะลอลงเมื่อสต็อกสินค้าสะสมเต็ม อย่างสหรัฐฯ จากเดิมสต๊อกสินค้าแค่สามเดือน ตอนนี้สต๊อกไปจนถึงคริสต์มาส ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังอาจอ่อนแรงลง
“ปัจจุบันสินค้าจีนขนาดเล็กบางประเภทถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 54% ขณะที่สินค้าขนาดใหญ่แม้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่คาดว่าจะถูกเรียกเก็บภาษีอย่างน้อย 30% ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจเปิดโอกาสให้ไทยได้เปรียบ หากสามารถเจรจาอัตราภาษีในระดับ 15-20% ได้ถือเป็นช่วงระดับที่ดี เพราะภาษี 0% แทบเป็นไปไม่ได้ และระดับ 10% ก็นับว่าต่ำที่สุดแล้ว”
ทั้งนี้หากไทยได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม ก็อาจหนุนให้การส่งออกในช่วงปลายปีฟื้นตัวขึ้นได้ ช่วงเวลานี้ยังมีความท้าทายจากการที่สินค้าจีนเร่งส่งออกในช่วง 90 วัน ก่อนที่ภาษีใหม่ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ สินค้าเหล่านี้จึงกำลังหาทางออกไปยังตลาดอื่น เช่น ยุโรป อาเซียน และประเทศต่าง ๆ ซึ่งอาจเพิ่มการแข่งขันในตลาดที่ไทยพึ่งพาอยู่
คาดว่าสหรัฐฯ จะประกาศอัตราภาษีที่ชัดเจนภายใน 1 เดือน ซึ่งจะทำให้การประเมินแนวโน้มการส่งออกช่วงปลายปีมีความแม่นยำมากขึ้น
ดร.กอบศักดิ์เสนอว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากฝั่งสหรัฐฯ ไทยควรมองหาประเทศ “ทางเลือก” สำหรับการส่งออกเพิ่มเติม พร้อมแนะให้ภาครัฐเร่งเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงด้านภาษีที่ดีกว่าประเทศคู่แข่ง
- ท่องเที่ยวไม่ฟื้น กลุ่มจีนจากเมืองรองหายไปหมด
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า ด้านการท่องเที่ยว แม้ช่วงปลายปี 2567 จะมีความคาดหวังสูง ใคร ๆ ก็บอกเมืองไทยเด่น แต่เหตุการณ์ลักพาตัวนักท่องเที่ยวจีน และปัจจัยด้านความปลอดภัย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์จีนจากเมืองรองที่หายไปเกือบทั้งหมด แต่นักท่องเที่ยวที่เป็นครอบครัวยังมาอยู่ และนักท่องเที่ยวจากยุโรปเพิ่มขึ้น เป็น 18% แต่ภาพรวมยังต่ำกว่าคาดการณ์
ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้ครองแชมป์จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอีกต่อไป โดยญี่ปุ่นขึ้นนำเป็นจุดหมายอันดับหนึ่ง ขณะที่มาเลเซียกำลังไล่ตามอย่างใกล้ชิด
ตามปกติ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น สึนามิ ไข้หวัดนก การประท้วง หรือความไม่สงบอื่น ๆ โดยนักท่องเที่ยวมัก “ลืม” เหตุการณ์เหล่านั้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 4 เดือน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ล่าสุดกลับยืดเยื้อเกิน 5 เดือน (ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน) และมีเหตุการณ์ต่อเนื่องหลายระลอก ทั้งแผ่นดินไหวและการประท้วง ส่งผลให้บางรัฐบาลต่างประเทศเริ่มประเมินความเสี่ยงในการเดินทางมายังไทย
แม้จะมีความท้าทาย แต่ก็ยังมีความหวังว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวอินเดีย หลังจากสายการบิน AirAsia ปรับแผนมุ่งเปิดเส้นทางบินจากอินเดียมากขึ้น ทดแทนเส้นทางจีนที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีความคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาในช่วงปลายปี หากสถานการณ์โดยรวมคลี่คลาย
หากประเทศไทยสามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้ การท่องเที่ยวจะมีโอกาสฟื้นตัวและเติบโตอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีแนะนำให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณอย่างจำกัดไปในจุดที่สำคัญ เช่น การให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำโปรโมชั่นให้ดีขึ้น
- ธุรกิจหลายแห่งปิดตัว
ดร.กอบศักดิ์ ยังสะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจในภาคการบริโภค โดยชี้ว่ามีหลายสัญญาณที่น่าเป็นห่วง เช่น ยอดขายร้านสะดวกซื้อในเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ลดลง ยอดใช้บัตรเครดิตติดลบ รวมถึงยอดขายสินค้าในบางหมวดที่ซบเซา
ขณะเดียวกัน ธุรกิจร้านอาหารหลายแห่งเผชิญกับการปิดตัว และมีการทยอยปิดโรงงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมแบบ “Sunset Sector” ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่กำลังเสื่อมถอยหรือมีแนวโน้มจะลดความสำคัญลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ หรือพฤติกรรมผู้บริโภค
“ภาพรวมสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง ปีนี้ไม่ใช่ปีที่ง่าย และภารกิจสำคัญคือการประคับประคองให้ภาคธุรกิจและประชาชนอยู่รอด พร้อมปรับตัวสู่ยุคใหม่ให้ได้”
- หวังลงทุนโดยตรงช่วยประคองเศรษฐกิจ
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ระบุว่า การลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขการลงทุนมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยการประชุมเมื่อเดือนที่แล้วมีเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 1 แสนล้านบาท และล่าสุดมีเพิ่มอีก 25,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังอยากเข้ามาลงทุนในไทย
“ในภาวะที่ทั่วโลกเผชิญความขัดแย้ง ทั้งในตะวันออกกลาง อินเดีย-ปากีสถาน รวมถึงยุโรปและอินโดนีเซียที่มีปัญหาภัยธรรมชาติ ประเทศไทยแม้จะไม่ได้ “ดูดีขึ้น” อย่างเด่นชัด แต่ก็กลายเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าในสายตานักลงทุน จึงควรเร่งส่งเสริมให้ไทยกลายเป็น “บ้านใหม่” และ “พื้นที่ใหม่” สำหรับชาวต่างชาติในการอยู่อาศัยและทำธุรกิจ
ทั้งนี้ รัฐบาลควรเปิดช่องให้มี “อินเซนทีฟ” หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่นักลงทุนต้องการ พร้อมเร่งรัดกระบวนการอนุมัติและดำเนินโครงการ เพื่อคว้าโอกาสในช่วงที่อาเซียนกำลังเป็นเป้าหมายของโลก”
ดร.กอบศักดิ์ ย้ำว่า เป้าหมายสำคัญของปีนี้ คือการ “พยุงตนเองให้รอด” ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง พร้อมให้กำลังใจว่า “อย่าถอดใจ เมืองไทยก็ยังไปต่อได้”


