นักวิชาการ ชี้ศึกการเมือง-คลิปเสียงเขย่ารัฐบาล ฉุดศก.โตต่ำกว่า 1%
ดร.สมชาย ชี้ ศึกใน-ศึกนอกรุมทึ้งรัฐบาลแพทองธาร ปมคลิปเสียงนายก-ฮุนเซน ซ้ำเติมความเชื่อมั่น นำไปสู่การยุบสภา-เปลี่ยนผู้นำสูง หวั่นกระทบงบประมาณ ฉุดจีดีพีไทยปี68 โตไม่ถึง 1%
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยในช่วงเวลานี้ กับ “สำนักข่าวโพสต์ทูเดย์” ว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งล้วนส่งผลต่อเสถียรภาพโดยรวมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่กรณี “คลิปเสียง” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกับ สมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนบางส่วน ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจในแนวนโยบายและเอกภาพของรัฐบาลกับทางด้านทหาร
ขณะเดียวกัน ภายในรัฐบาลก็เผชิญแรงสั่นสะเทือนจากความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ที่ต่างต้องการควบคุมกระทรวงมหาดไทย ขณะเดียวกันยังเผชิญแรงกดดันให้มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือยุบสภาเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หากแรงกดดันจากภายนอก ทั้งการชุมนุมหรือกระแสไม่พอใจจากปม “ชั้น 14” ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ต้องยอมรับว่ารัฐบาลขณะนี้อยู่ในภาวะที่ค่อนข้างอ่อนไหว เนื่องจากเผชิญปัญหารอบด้าน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกของประชาชน รัฐบาลพยายามประคับประคองให้ไปจนถึงเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะไม่มีฝ่ายใดอยากยุบสภา ต่างกลัวว่าคะแนนเสียงลดลงหากกลับเข้าสู่สนามเลือกตั้งอีกครั้ง แต่กปฏิเสธไม่ได้ว่าหากแรงกดดันมากพอ และรัฐบาลไม่สามารถประครองสถานการณ์ไว้ได้ อาจมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี หรือยุบสภาเกิดขึ้นในอนาคต โอกาสนำไปสู่จุดแตกหักสูง
ด้านเศรษฐกิจการค้าชายแดนนั้น รศ.ดร.สมชายชี้ว่า ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนแม้คิดเป็นเพียง 1% ของการค้าทั่วประเทศ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท แต่กระทบโดยตรงกับกลุ่ม SMEs และประชาชนใน 7 จังหวัดชายแดน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น ส่วนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศมีจำนวนไม่มาก ประมาณ 2 แสนคน จึงยังไม่ส่งผลกระทบใหญ่ต่อเศรษฐกิจภาพรวมของไทย
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทย นักวิเคราะห์ทั่วโลกได้ปรับลดประมาณการอัตราขยายตัวเศรษฐกิจโลกลงเหลือเพียง 2.4% ขณะที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค และหากสถานการณ์การเมืองยังไม่มีเสถียรภาพ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือการยุบสภา จะส่งผลกระทบต่อการใช้งบประมาณ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจเติบโตไม่ถึง 1% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่อยู่ระหว่าง 2-3%
หากการเมืองเข้าสู่ภาวะวิกฤตถึงขั้นเปลี่ยนรัฐบาลหรือยุบสภา รัฐบาลใหม่อาจต้องใช้เวลานานในการจัดทำงบประมาณและฟื้นความเชื่อมั่น ซึ่งอาจทำให้จีดีพีไทยในปีนี้ ต่ำกว่า 1% ได้ หากจำกันได้เราเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เมื่อ 2 ปีก่อน พอมีช่องว่างทางอำนาจ งบประมาณใช้ไม่เต็มที่ ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวทันที
ภาวะเสถียรภาพทางการคลังของไทยขณะนี้ก็อยู่ในจุดที่น่าเป็นห่วง โดย ระบุว่า หนี้สาธารณะของไทยแตะระดับ 65% ของจีดีพี แล้ว ขณะที่การขาดดุลงบประมาณพุ่งขึ้นถึง 4.5% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบกว่า 20 ปี แม้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Moody’s ยังไม่ลดเครดิตของไทย แต่ได้ปรับ Outlook จาก “เสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” สะท้อนถึงความกังวลต่อความสามารถในการบริหารการคลังของรัฐบาล
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ปัญหาทางสังคมที่กำลังลุกลาม โดยเฉพาะ “หนี้ครัวเรือน” ที่แตะระดับ 90% ของ GDP ในขณะที่รายได้ของประชาชนต่ำกว่ารายจ่าย ส่งผลให้ความรู้สึกของความยากจนและความไม่มั่นคงเริ่มเพิ่มขึ้น
ปัญหาเศรษฐกิจไทยไม่ใช่แค่เรื่องระยะสั้น แต่สะสมจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่อ่อนแอต่อเนื่องกว่า 14 ปี เติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ต่ำสุดในอาเซียน ปัจจัยหลักคือระบบการศึกษาล้าหลัง ไม่รองรับเทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัลปรับตัวช้า หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง และรายได้ประชาชนไม่พอกับค่าครองชีพ สถานการณ์นี้อาจนำรัฐบาลเข้าสู่จุดเปราะบาง หากไม่เร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้าง อาจกระทบเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอย่างชัดเจน โดยสะท้อนผ่านดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซียที่ยังโตได้ 3-4% เสถียรภาพค่าเงินบาทยังแข็งน้อยกว่าคู่แข่ง สะท้อนถึงเงินทุนไหลเข้าที่จำกัด และเสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน ทำให้มีการชะลอการลงทุน
แม้นักลงทุนต่างชาติจะมองว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองไม่ส่งผลโดยตรงต่อนโยบายเศรษฐกิจ แต่ความผันผวนในเชิงโครงสร้างของรัฐบาลก็ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ


