ไขข้อสงสัย! ทำไมราคาน้ำมันไทยต้องขึ้นลงตามราคาตลาดโลก?
เปิดสาเหตุ ทำไมราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยต้องอ้างอิงตามตลาดโลก ทั้งที่เรามีโรงกลั่นน้ำมันของตัวเอง หากผลิตเองได้ ก็ควรตั้งราคาขายเองได้ จริงหรือ
หลายคนคงเคยสงสัยกันใช่ไหมว่า ทำไมราคาน้ำมันในประเทศไทยต้องขึ้นลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งที่เรามีโรงกลั่นน้ำมันของตัวเอง และบางพื้นที่ก็มีแหล่งผลิตน้ำมันดิบ หากประเทศไทยผลิตน้ำมันเองได้ ก็ควรตั้งราคาขายเองได้ โดยไม่ต้องอ้างอิงกับต่างประเทศได้หรือไม่
เรามาดูสาเหตุกันว่า ทำไมราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยต้องอ้างอิงตามตลาดโลก และปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศเปลี่ยนแปลงไปตามราคาสากล ซึ่งหากเราเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้สามารถวางแผนการใช้ชีวิตและการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
น้ำมัน สำคัญต่อชีวิตประจำวันอย่างไร ?
น้ำมัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ รถโดยสาร หรือเครื่องบิน ล้วนต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง นอกจากนี้ น้ำมันยังเป็นต้นทุนสำคัญในการขนส่งสินค้า ทำให้ราคาน้ำมันมีผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เราซื้อใช้ทุกวัน
เมื่อราคาน้ำมันขึ้น ค่าเดินทางและค่าขนส่งก็สูงขึ้นตาม ส่งผลให้ค่าครองชีพแพงขึ้น ในทางกลับกันถ้าราคาน้ำมันลดลง ต้นทุนหลายอย่างก็ลดลง ทำให้เศรษฐกิจเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้ราคาน้ำมันจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสนใจเพราะมีผลต่อทั้งเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของเราโดยตรง
น้ำมันไม่ใช่ของใครคนเดียว ! แต่เป็นสินค้าหลักของตลาดโลก
น้ำมันถือเป็น “สินค้าสากล” (Global Commodity) เพราะเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันในระดับโลก ไม่ใช่แค่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งลักษณะของสินค้าประเภทนี้จะมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก โดยมีความแตกต่างกันเชิงคุณภาพขึ้นอยู่กับแหล่งผลิต ซึ่งโดยหลักแล้วน้ำมันดิบอ้างอิงที่สำคัญของโลก ได้แก่
Dubai เป็นน้ำมันดิบจากแหล่งตะวันออกกลาง
Brent มีแหล่งผลิตที่อยู่ในทะเลเหนือ โดยอยู่ระหว่างเกาะอังกฤษ และคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย
West Texas Intermediate (WTI) เป็นน้ำมันดิบอ้างอิงที่สำคัญในทวีปอเมริกา
นอกจากนี้ ตลาดกลางซื้อขายน้ำมัน ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมักถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานในการอ้างอิงราคา เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือ และมีปริมาณการซื้อขายสูง มี 3 แห่งหลัก ๆ ได้แก่
New York Mercantile Exchange (NYMEX) หรือตลาดนิวยอร์ก เป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป โดยใช้ราคาที่สะท้อนความต้องการในอเมริกาเหนือเป็นหลัก
Intercontinental Exchange (ICE) หรือตลาดลอนดอน เป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในยุโรป โดยราคาจากตลาดนี้มักสะท้อนถึงความต้องการในยุโรป แอฟริกา และบางส่วนของเอเชีย
Singapore International Monetary Exchange (SIMEX) หรือตลาดสิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการค้าและกำหนดราคาน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยใช้ราคาที่สะท้อนความต้องการน้ำมันในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
สำหรับราคาน้ำมันที่ใกล้ตัวกับผู้บริโภคชาวไทยก็คือราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการหรือราคาขายปลีกของสถานีบริการต่าง ๆ ซึ่งมีราคาของน้ำมันสำเร็จรูปเป็นต้นทุนหลักอ้างอิงราคาจากตลาดสิงคโปร์
ราคาน้ำมันโลกขึ้นลงอย่างไร ? ถอดรหัสกลไกที่คุณต้องรู้ !
การเข้าใจกลไกตลาดน้ำมันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะน้ำมันเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายอย่างในตลาดโลก ดังนี้
1.อุปสงค์ - อุปทาน (Demand & Supply)
ถ้าอุปสงค์สูง คนต้องการใช้น้ำมันเยอะ แต่มีอุปทานน้อย หรือ ผลิตไม่พอ ส่งผลให้→ ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
ถ้าอุปสงค์ลดลง คนใช้น้อย แต่มีอุปทานสูง คือ ผลิตน้ำมันมากเกิน ส่งผลให้ → ราคาน้ำมันลดลง
ตัวอย่างเช่น
หากเกิดสงครามในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน จะทำให้กำลังการผลิตน้อยลง → ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
ช่วงโควิด-19 คนเดินทางน้อย ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง → ราคาน้ำมันลดลง
2.นโยบายของกลุ่ม OPEC
และประเทศผู้ผลิตน้ำมัน กลุ่ม OPEC และประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาเพราะสามารถควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันในตลาดโลก
ถ้า OPEC และประเทศผู้ผลิต "ลดกำลังการผลิต" จะทำให้น้ำมันหายากขึ้น → ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
ถ้า OPEC และประเทศผู้ผลิต "เพิ่มกำลังการผลิต" จะทำให้มีน้ำมันมากขึ้นในตลาด → ราคาน้ำมันลดลง
3.เหตุการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก
เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก เช่น สงคราม วิกฤตเศรษฐกิจ หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ มีผลโดยตรงต่อราคาน้ำมัน เพราะส่งผลต่ออุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ในตลาดโลก
ถ้าเกิดสงครามหรือความขัดแย้งในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน จะทำให้การผลิตลดลง → ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
ถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก จะทำให้คนใช้พลังงานน้อยลง → ราคาน้ำมันลดลง
ตัวอย่างเช่น
สงครามรัสเซีย - ยูเครน ปี 2022 ทำให้รัสเซียลดการส่งออกน้ำมัน → ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น
วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 และช่วงโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง → ราคาน้ำมันลดลง
น้ำมันไทยมาจากไหน ? ทำไมราคาน้ำมันไทยต้องขึ้นลงตามตลาดโลก ?
ไทยผลิตน้ำมันเองได้ แต่ไม่พอใช้ ! ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากตลาดโลก แม้ว่าไทยจะมีแหล่งน้ำมันดิบในทะเลอ่าวไทย แต่ปริมาณสำรองและอัตราการผลิตค่อนข้างจำกัด ทำให้ผลิตได้เพียง 15-20% ของความต้องการใช้ทั้งหมดของประเทศ
ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งพาน้ำมันดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ตะวันออกกลาง และเอเชียแปซิฟิก ประมาณ 80-85% เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและจำนวนประชากร
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศไทยมีการอ้างอิงมาจากตลาดสิงคโปร์ หรือ Singapore International Monetary Exchange (SIMEX) เพราะตลาดสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันในภูมิภาคเอเชีย และมีปริมาณการซื้อขายที่สูงทำให้ราคาเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์จึงเป็นราคาที่สะท้อนสภาพตลาด ภาวะอุปสงค์และอุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการกำหนดมาตรฐานราคาน้ำมันอย่างเป็นระบบ และได้รับการยอมรับในระดับสากล ของ Platts Singapore ประกอบกับความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ ทำให้ตลาดสิงคโปร์เป็นเกณฑ์อ้างอิงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตลาดน้ำมันในประเทศไทย
นอกจากประเทศไทยแล้ว ก็ยังมีประเทศอื่นที่ใช้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ราคาตลาดสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิง อีกทั้งหลายประเทศในทวีปเอเชียก็ใช้ราคาอ้างอิงดังกล่าวเป็นฐานการคำนวณต้นทุนราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศเช่นกัน ประกอบกับโครงสร้างราคาน้ำมันขายปลีกของประเทศไทยประกอบด้วยต้นทุนเนื้อน้ำมันสูงถึง 60 - 70%
ดังนั้นหากต้นทุนเนื้อน้ำมัน (ซึ่งอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์) เพิ่มขึ้น ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การเชื่อมโยงกับราคาสากลจะช่วยสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง การแข่งขันที่เป็นธรรม และการบริหารความเสี่ยงด้านอุปทาน ซึ่งช่วยให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภคสามารถปรับตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าไทยกำหนดราคาน้ำมันเอง: ทางรอดหรือทางตันของเศรษฐกิจไทย ?
หากประเทศไทยกำหนดราคาน้ำมันให้ ต่ำกว่าตลาดโลก โดยไม่อ้างอิงราคาสากล อาจช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจเกิดผลกระทบหลายอย่างที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพพลังงานของประเทศ ดังนี้
1. ผู้นำเข้าไม่อยากนำเข้าน้ำมัน และโรงกลั่นขาดแรงจูงใจในการลงทุนและผลิตน้ำมัน เนื่องจากเกิดการขาดทุน ทำให้การนำเข้าน้ำมันลดลง และมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ
2. ภาระทางการเงินของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากการอุดหนุนราคาน้ำมันให้กับผู้ผลิตเป็นเวลานาน กองทุนน้ำมันอาจหมดลง หรือรัฐต้องกู้เงินเพื่อชดเชย ทำให้ส่งผลต่อหนี้สาธารณะ
3. ผู้ผลิตจะให้ความสำคัญกับการส่งออกเป็นหลัก ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศ
4.เกิดการลักลอบนำออกไปขายต่างประเทศ เพราะจะได้ราคาสูงกว่า ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศ
5. เกิดการกักตุนสินค้าเพื่อขายต่อในช่วงที่ราคาสูงขึ้น และตลาดมืดที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม
หรือหากประเทศไทยกำหนดราคาน้ำมันให้ สูงกว่าตลาดโลก โดยไม่อ้างอิงราคาสากล อาจเกิดผลกระทบหลายอย่างที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพพลังงานของประเทศ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
1. ต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพสูงขึ้น จากราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และกำลังซื้อของประชาชนลดลง
2. อุตสาหกรรมและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวลดลง
3. รัฐบาลอาจต้องใช้มาตรการแทรกแซงในการอุดหนุนราคาน้ำมัน ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และสนับสนุนพลังงานทางเลือกและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า EV
4.เกิดการลักลอบนำเข้าน้ำมันจากประเทศที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียเงินตราต่างประเทศ จากการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปโดยไม่จำเป็น อาจทำให้ไทยขาดดุลการค้าและส่งผลต่อค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง
รับมือกับราคาน้ำมัน: กลยุทธ์ฝ่าความผันผวนอย่างชาญฉลาด
ราคาน้ำมันที่ขึ้นลงตามตลาดโลกส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ต้นทุนของภาคธุรกิจ และเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม การเข้าใจและปรับตัวต่อความผันผวนของราคาน้ำมัน จะช่วยลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าครองชีพในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน ดังนี้
ปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานให้คุ้มค่า
ขับรถแบบ Eco-Driving
ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม (80-100 กม./ชม.)
หลีกเลี่ยงการเร่งและเบรกกระทันหัน
ดับเครื่องยนต์เมื่อจอดนานเกิน 5 นาที
บำรุงรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอ
ตรวจลมยางให้เหมาะสม ลดแรงเสียดทาน
เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามระยะ
ใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะกับรถ
เลือกเดินทางให้มีประสิทธิภาพ
วางแผนเส้นทางล่วงหน้า หลีกเลี่ยงรถติด
ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า, รถเมล์
ใช้แอปพลิเคชันแชร์รถ หรือ Carpooling
เลือกใช้พลังงานทางเลือก
• หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือรถยนต์ไฮบริด
• ใช้พลังงานทดแทน
• ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) ด้วยการวางแผนงบประมาณรับมือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น
• ติดตามราคาน้ำมัน
• ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ด้วยการควบคุมการเดินทางเพื่อลดการใช้น้ำมัน และใช้เทคโนโลยี เช่น การประชุมออนไลน์เพื่อลดการเดินทาง
ส่องตัวอย่างเหตุการณ์ความผันผวนของราคาน้ำมัน
1. วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน (2022 - ปัจจุบัน)
เมื่อรัสเซียบุกยูเครนในปี 2022 ประเทศตะวันตกตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรการส่งออกพลังงานของรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ราคาน้ำมันพุ่งสูงถึง 120 ดอลลาร์/บาร์เรล ในช่วงกลางปี 2022 เพราะอุปทานลดลง ประเทศยุโรปต้องหันไปนำเข้าน้ำมันจากแหล่งอื่น เช่น ตะวันออกกลาง ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันจากภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น ไทยต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้นตามราคาตลาดโลก เนื่องจากต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง
2. การลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ (2023)
OPEC+ (กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันนำโดยซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย) ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลงหลายล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อลดปริมาณน้ำมันในตลาดและดันราคาให้สูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำมันที่ออกสู่ตลาดลดลง ราคาน้ำมันในไทยจึงเพิ่มขึ้นตาม เพราะต้องซื้อน้ำมันในราคาที่สูงขึ้น
3. การระบาดของโควิด-19 (2020-2021)
ในช่วงต้นปี 2020 โควิด-19 ระบาดหนักทั่วโลก ทำให้หลายประเทศล็อกดาวน์ ส่งผลให้การเดินทางและกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ความต้องการใช้น้ำมันลดลงอย่างมาก ราคาน้ำมันดิบลดต่ำสุดในรอบหลายสิบปี โดย WTI Crude เคยติดลบที่ -37 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำมันในไทยปรับลดลงเหลือ ต่ำกว่า 20 บาท/ลิตร ในช่วงกลางปี 2020


