วินน์- MGM เจรจาลงทุน Entertainment Complex มั่นใจขึ้นเบอร์ 3 โลก
“จุลพันธ์” เผย 4 กลุ่มทุนใหญ่ สนลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย วินน์- MGM เข้ามาเจรจาแล้ว คาดขึ้นแท่นเบอร์ 3 โลก ภายใน 5-10 ปี
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานแถลงข่าว “Thailand Entertainment Complex” มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลก เพื่อคนไทยทุกคน เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 ว่า ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.... หรือ โครงการ Entertainment Complex ถูกบรรจุเป็นเรื่องแรกในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะพิจารณาในเดือนก.ค.นี้ เมื่อบรรจุเป็นวาระ 1 และมีการตั้งคณะกรรมาธิการแล้ว ก็จะเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสมัยของรัฐบาลปัจจุบัน หรือภายในปี 2570 แต่ในกรณีที่ร่างกฎหมายไม่แล้วเสร็จในรัฐบาลนี้ก็จะเท่ากับกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ หากรัฐบาลชุดใหม่ปัดตก
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มนักลงทุนต่างชาติชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจรีสอร์ตครบวงจรระดับโลกกว่า 4 แห่ง มาขอนัดหมายเข้าพบ โดยมีการพูดคุยแล้ว 2 ราย คือ บริษัท วินน์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด เจ้าของ Wynn Resorts และบริษัท MGM Resorts รวมทั้งเตรียมนัดพบกับผู้ดำเนินธุรกิจอื่นๆ ด้านความบันเทิง อาทิ สนามกีฬา และผู้จัดงานแสดง โดยมีการประเมินว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะขึ้นเป็น Entertainment Complex ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากลาสเวกัส ในสหรัฐ และมาเก๊า ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า
ด้านนายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมองว่าโครงการนี้จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ที่สำคัญ ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่มีการแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน ทั้งนี้ โครงการ Entertainment Complex ไม่ใช่การพนันออนไลน์ และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปเล่นในคาสิโนได้ และยืนยันว่ามันไม่ใช่โครงการแบบ “ฟรีคาสิโน” หรือ “การพนันเสรี” ซึ่งโมเดลที่ไทยใช้จะเป็นการดึงดูดการลงทุนขนาดเมกะโปรเจกต์ระดับแสนล้านบาทขึ้นไป โมเดลเดียวกับสิงคโปร์และญี่ปุ่น ที่จำกัดจำนวนไลเซนส์ให้น้อยราย และบังคับให้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่พิเศษ (XXL) และมาพร้อมกับมาตรฐานการกำกับดูแลระดับโลก
สำหรับโครงการประกอบด้วย 1.Indoor Stadium ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ระดับโลกได้ตลอดทั้งปี แก้ปัญหาเรื่องเสียง สภาพอากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สนามปัจจุบันไม่รองรับ
2.ศูนย์การแสดงสินค้าและวัฒนธรรมไทย กำหนดให้ 10% ของพื้นที่ต้องจัดแสดงวัฒนธรรมไทย สินค้า OTOP อาหารไทย และการนวดไทย เพื่อให้คนไทยได้แสดงศักยภาพและสร้างรายได้
3.ศูนย์ประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ รองรับงานแสดงสินค้าระดับโลกและงานเปิดตัวสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
4.โรงแรมหรูและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและเพิ่มโอกาสการใช้จ่าย
5.พิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนน้ำที่ล้ำสมัย เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงประสบการณ์ระดับโลกในราคาที่ย่อมเยา โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ
6.ที่จอดเรือสำราญ (Cruise/Yacht Terminal) ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูง
7.ศูนย์นวัตกรรมและธุรกิจอนาคต เพื่อกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปมากกว่าแค่การท่องเที่ยว
โครงการนี้จะดึงดูด เงินลงทุนจากภาคเอกชนเข้ามาในประเทศอย่างน้อย 100,000 ล้านบาท และอาจสูงถึง 300,000 ล้านบาทขึ้นไป คาดว่าจะช่วยเพิ่ม GDP ในช่วงก่อสร้าง 0.23% และหลังเปิดบริการ 0.2-0.8% รวมถึงสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยว 100,000-200,000 ล้านบาท และ เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก 22,000 บาท
นอกจากนี้ จะมีการจ้างงานโดยตรงกว่า 9,000-10,000 ตำแหน่ง ซึ่งคาดว่าสูงกว่านี้มาก หากเทียบกับ Marina Bay Sands เพียงแห่งเดียวที่มีพนักงาน 12,000 คน โดยเน้นการจ้างงานคนไทย การใช้วัสดุก่อสร้าง และสินค้าในประเทศ
ด้านรายได้เข้ารัฐ โครงการนี้จะสร้างรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมกว่า 12,000-40,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้เหล่านี้จะถูกนำไปสนับสนุนการศึกษา การพัฒนาเยาวชน ด้านดนตรี กีฬา เทคโนโลยี สาธารณสุข โครงการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการส่งเสริม CSR และการพัฒนาชุมชนโดยรอบ


