posttoday

ระวัง คลื่นความถี่ในมือทุนใหญ่ ผู้บริโภคเสี่ยงไร้ทางเลือก

01 มิถุนายน 2568

ชำแหละประมูลคลื่นความถี่ ภาคประชาชน - นักวิชาการ - รัฐวิสาหกิจ ประสานเสียงค้านผูกขาด เสนอชะลอ - ทบทวนเกณฑ์ประมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ

ในเวทีเสวนา “กสทช. กับการประมูลคลื่นความถี่ และผลประโยชน์ของประชาชน” ตัวแทนจากภาคประชาชน นักวิชาการ และผู้แทนรัฐวิสาหกิจได้ร่วมกันสะท้อนความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อการประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่านที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 29 มิ.ย.2568 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นการประเคนคลื่นให้แก่เอกชนโดยปราศจากหลักประกันต่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง

เอ็นที หวั่นหลุดออกจากตลาดมือถือ ระบบ ผูกขาดแค่ 2 ราย

เชิดชัย กัลยาวุฒิพงษ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที แสดงความกังวลต่อกระบวนการประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะเกิดขึ้นว่า หากปล่อยให้ เอ็นที  หลุดออกจากตลาด จะส่งผลให้โครงสร้างผู้ให้บริการโทรคมนาคมเหลือเพียงสองรายหลัก ถือเป็นภาวะผูกขาดสมบูรณ์ที่กระทบต่อทั้งประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการและระบบเศรษฐกิจโดยรวม 

อย่างไรก็ตาม แม้เอ็นทีจะมีคลื่นความถี่ในครอบครอง แต่ขาดโครงข่ายหลักและการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านคุณภาพและราคากับผู้ให้บริการรายใหญ่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดบรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตบ้าน) และบริการเคลื่อนที่ ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบัน สะท้อนว่าความอยู่รอดของเอ็นที อยู่ในภาวะวิกฤต หากเกิดการซื้อกิจการลูกค้าจากเอกชนจนหมด จะเท่ากับว่าเอ็นทีพ้นสถานะผู้ให้บริการโดยสมบูรณ์ และประชาชนจะไม่มีทางเลือกอื่นในตลาดอีกต่อไป 

การจัดสรรคลื่นควรคำนึงถึงความหลากหลายในตลาด และป้องกันไม่ให้กลไกตลาดถูกผูกขาดโดยเอกชน โดยเรียกร้องให้ กสทช. กำกับดูแลด้วยความเป็นธรรม สร้างโครงสร้างราคาที่ตรวจสอบได้ และกันคลื่นย่านกลางไว้ใช้เพื่อสาธารณะ ไม่ใช่ส่งมอบทรัพยากรของชาติเข้าสู่มือกลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย

พร้อมเสนอให้ภาครัฐพิจารณาใช้โมเดลสัมปทาน เพื่อให้เอ็นทีสามารถทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของชาติ โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการประมูลเชิงพาณิชย์ ทั้งยังอ้างอิงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เคยเห็นชอบให้เอ็นทีเป็นหน่วยงานดำเนินการด้านโครงข่ายเพื่อความมั่นคงในช่วงควบรวมกิจการ

ตั้งคำถาม ประมูลคลื่น เพื่อประชาชน หรือไม่

ด้าน อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมในปัจจุบันมีผู้ใช้งานราว 116 ล้านเลขหมาย แต่กลับมีผู้ให้บริการหลักเพียง 2 ราย คือ ทรู (True) ที่ครองตลาดถึง 54.29% และเอไอเอส (AIS) อีกประมาณ 43% ขณะที่เอ็นที ซึ่งเป็นผู้ให้บริการภาครัฐมีส่วนแบ่งเพียง 2.66% เท่านั้น

ระวัง คลื่นความถี่ในมือทุนใหญ่ ผู้บริโภคเสี่ยงไร้ทางเลือก

สถานการณ์นี้ส่งผลให้ดัชนีความกระจุกตัวของตลาด (HHI) พุ่งสูงถึง 4,800 จุด ในขณะที่ระดับที่สะท้อนถึงการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพควรอยู่ที่ประมาณ 2,500 จุด

อิฐบูรณ์ ตั้งคำถามต่อการผลักดันให้เอ็นทีเปิดให้เช่าคลื่นความถี่ให้เอกชนรายใหญ่ ขณะที่ตัวเองไม่มีบทบาทในการประมูล ทั้งที่คลื่นเหล่านี้เป็นสมบัติสาธารณะของแผ่นดิน การเปิดประมูลโดยที่มีผู้ร่วมแข่งขันเพียง 2 ราย ยิ่งตอกย้ำถึงการขาดทางเลือกของผู้บริโภค และเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด

ขณะเดียวกันยังไม่มีหลักประกันใด ๆ ในการควบคุมราคาหรือคุณภาพบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่ควรได้ใช้บริการในราคาที่ต่ำและเข้าถึงได้ กลับต้องเผชิญกับค่าบริการที่สูงและคุณภาพไม่สม่ำเสมอ จนนำไปสู่การที่สภาผู้บริโภคยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในหลายกรณี พร้อมตั้งคำถามว่า การจัดสรรคลื่นในครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงหรือไม่

ราคาประมูลไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาด

สุพจน์ เธียรวุฒิ อนุกรรมการด้านการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช. ได้วิเคราะห์ภาพรวมโครงสร้างการถือครองคลื่นความถี่ในปัจจุบันว่า การแข่งขันในตลาดแทบจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อผู้ให้บริการรายใหม่ถูกกันออกจากระบบด้วยเงื่อนไขที่สูงเกินจริง เช่น การกำหนดให้ครอบคลุมทุกตำบลถึง 50% ภายในสองปี ทำให้เกิดสภาพตลาดโทรคมนาคมที่เอื้อต่อผู้เล่นรายเดิมเป็นหลัก 

ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจากตารางการถือครองคลื่นพบว่าเอไอเอส และทรู ถือครองทั้งคลื่นย่านความถี่ต่ำ (700 - 900 เมกะเฮิรตซ์), คลื่นย่านความถี่กลาง (1800 - 2600 เมกะเฮิรตซ์) และคลื่นย่านความถี่สูง (26 กิกกะเฮิร์ทซ) อย่างสมบูรณ์

ในขณะที่เอ็นที ที่แม้จะมีคลื่นบางส่วนในย่าน 2100 และ 2300 เมกะเฮิรตซ์ แต่ยังขาดแคลนโครงข่ายและทุนสนับสนุนในการแข่งขัน 

ระวัง คลื่นความถี่ในมือทุนใหญ่ ผู้บริโภคเสี่ยงไร้ทางเลือก

สุพจน์ เธียรวุฒิ อนุกรรมการด้านการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช.

สุพจน์ ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดราคาคลื่นความถี่ของ กสทช. ในหลายช่วงไม่สอดคล้องกับข้อมูลต้นทุนหรือความเป็นจริงของตลาด โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับราคาการประมูลในต่างประเทศ หรือการพยากรณ์แนวโน้มการใช้ประโยชน์ในอนาคตที่ควรจะสูงขึ้น ขณะที่ความล้มเหลวของเทคโนโลยี 5G ที่ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างชัดเจนจาก 4G ในชีวิตประจำวัน ยิ่งตอกย้ำว่าการประมูลที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง พร้อมเสนอให้เอ็นที ปรับบทบาทเป็นผู้ให้บริการพื้นฐานของรัฐ เพื่อคานอำนาจเอกชนและรับผิดชอบโครงสร้างความมั่นคงทางดิจิทัล

แนะจัดสรรคลื่นบางส่วนเพื่อสาธารณะแบบไม่ต้องประมูล

ในด้านนโยบาย เขาเสนอว่า กสทช. ควรจัดสรรคลื่นกลางบางส่วนเพื่อสาธารณะ เป็นลักษณะเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) หรือเครือข่ายเฉพาะที่ (Local Network) ให้ใช้ได้โดยไม่ต้องประมูล เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งกันคลื่นบางส่วนไว้ให้หน่วยงานรัฐ โรงงาน และชุมชนใช้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งผู้ให้บริการเอกชนทั้งหมด

พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มบทบา.ทการกำกับดูแลอย่างเข้มข้น ทั้งในด้านราคา คุณภาพ และการตรวจสอบระบบไอทีของผู้ให้บริการ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำกับระบบการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดเชิงโครงสร้างที่ประชาชนไม่มีทางเลือกและรัฐไม่มีอำนาจควบคุม

ประมูลคลื่นถูกครอบงำโดยทุนใหญ่

แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม เปิดเผยว่า โครงสร้างการประมูลคลื่นความถี่ในประเทศไทยในปัจจุบันถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ผ่านโมเดล “สามเหลี่ยมอุปถัมภ์” ซึ่งมีภาคราชการอยู่ฐานล่าง พรรคการเมืองเป็นแกนกลาง และกลุ่มทุนอยู่จุดสูงสุด โดยไม่มีภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของระบบ สะท้อนภาพของการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม

ระวัง คลื่นความถี่ในมือทุนใหญ่ ผู้บริโภคเสี่ยงไร้ทางเลือก

แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม

พร้อมเสนอว่า การจัดสรรคลื่นควรเปลี่ยนแนวทางไปสู่ระบบที่ยึดธรรมาภิบาลและสังคมเป็นตัวตั้ง เช่น บิวตี้ คอนเทสต์ (Beauty Contest) ที่เน้นศักยภาพในการให้บริการและประโยชน์ต่อประชาชน มากกว่าการแข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว

หวั่นข้อมูลถูกโจมตีทางไซเบอร์

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการนโยบายสภาผู้บริโภค และอดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการจัดตั้ง กสทช. มีเป้าหมายเพื่อดึงคลื่นความถี่จากภาครัฐมาเข้าสู่ระบบใบอนุญาตแทนระบบสัมปทาน และเปิดให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างโปร่งใส แต่ในความเป็นจริง กลับเกิดการกระจุกตัวของตลาดอย่างรวดเร็ว จากที่เคยมีผู้เล่นหลากหลายหลังการประมูล 3G กลับเหลือเพียงสองรายหลักที่ครอบครองคลื่นความถี่หลักของประเทศ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นที่คลื่นเพื่อกิจการสาธารณะ และทำลายหลักการเพื่อประโยชน์สาธารณะที่เคยเป็นหัวใจของการจัดสรรคลื่น

การที่คลื่นความถี่สำคัญอยู่ในมือของเอกชนเพียงสองราย ย่อมส่งให้เกิดอำนาจเหนือตลาด โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูล การทำธุรกรรม และการเรียนรู้พึ่งพาระบบสื่อสารอย่างเข้มข้น ย่อมส่งผลให้กระทบกับความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ปัจจุบันคณะกรรมการของบริษัทเหล่านี้จะเป็นคนไทย แต่หากมีการเปลี่ยนมือไปยังต่างชาติในอนาคต รัฐอาจสูญเสียอำนาจกำกับดูแลอย่างสิ้นเชิง หากระบบล่มหรือถูกโจมตีทางไซเบอร์ การควบคุมสถานการณ์อาจไม่สามารถทำได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาท

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย