“เผ่าภูมิ” ยันยังไม่เคาะอนาคตแจกเงินหมื่น รอถกบอร์ดกระตุ้นศก.
เผ่าภูมิ เผยรอบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ พิจารณาข้อมูลรอบด้าน ก่อนตัดสินใจแจกเงินหมื่น ดิจิทัล วอลเล็ตหรือไม่ ชี้ใช้งบทุกบาทต้องคุ้มค่า ยันมียุทธศาสตร์เจรจาสหรัฐ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการ เติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่ายังไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้ว่าโครงการจะเดินหน้าต่อหรือไม่ เนื่องจากยังต้องรอการประชุมของ คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน
นายเผ่าภูมิ ย้ำว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลต้องนำมาประกอบการตัดสินใจ คือ สถานการณ์นโยบายการค้าโลก ซึ่งในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในบางด้าน แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะไม่มีความเสี่ยงอีก รัฐบาลจึงต้อง ไม่ประมาท และใช้ข้อมูลทั้งหมดมาประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรอบด้าน
วันนี้กับวันข้างหน้าไม่เหมือนกัน การเลือกเครื่องมือทางการคลังและการเงินต้องแม่นยำ และสอดคล้องกับสถานการณ์จริงมากที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลจะพิจารณาใช้งบประมาณด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงความ คุ้มค่าในทุกมิติ ทั้งด้านนโยบาย มาตรการ และภาพรวมทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อประเทศอย่างแท้จริง
ซึ่งโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านบาท รัฐบาลจะไม่พิจารณาแยกรายโครงการ แต่จะดูทั้งภาพใหญ่ของเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น รวมถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณ และสถานการณ์การคลังในประเทศ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
การตัดสินใจต้องไม่เจาะจงเป็นโครงการ แต่ดูจากมุมกว้างทั้งหมด เพื่อให้การใช้งบประมาณตอบโจทย์เศรษฐกิจได้ตรงจุดที่สุด
ส่วนในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความกังวลว่าการใช้นโยบายกระตุ้นการบริโภคอาจไม่เหมาะสมในสถานการณ์ที่ กระสุนทางการคลัง มีจำกัด นายเผ่าภูมิกล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิยมการบริโภคเหนือการลงทุน หรือการลงทุนเหนือการบริโภค แต่มองว่า การจัดสมดุลระหว่างมาตรการต่าง ๆ คือสิ่งสำคัญ โดยเราต้องบริหารเศรษฐกิจแบบกลมกล่อม ไม่ใช่ทุ่มงบไปที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว เพราะทุกมิติล้วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน การส่งออก หรือการบริหารความเสี่ยง
สำหรับประเด็นการเจรจาทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ นั้น รัฐบาลยังไม่รีบเข้าร่วมในเกมเศรษฐกิจระหว่างประเทศแบบเต็มตัว เพราะต้องรอ “จังหวะที่เหมาะสม” และ ประเมินให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจ เราทำงานเต็มที่ รัฐบาลไทยมีแผนยุทธศาสตร์ในการเจรจา มีการพิจารณาทุกเงื่อนไข ทั้งสิ่งที่เรามี สิ่งที่ควรให้ สิ่งที่ควรเก็บไว้ และสิ่งที่ควรหยิบไปต่อรอง โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศสูงสุด


