TDRI ชี้โลกแบ่งขั้ว 4 กลุ่ม ขณะที่เงินดอลลาร์จะถูกลดบทบาทลง
TDRI ชี้โลกแบ่งขั้ว 4 กลุ่ม เงินดอลลาร์อาจลดบทบาทลง ดูไบขึ้นแท่นศูนย์กลางการเงิน นักลงทุนอาจต้องถือเงินหลายสกุล รัฐ–เอกชน เร่งกระจายความเสี่ยง
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI กล่าวใน เสวนา Trade war เปลี่ยนวิกฤตโลก เป็นโอกาสไทย ในงาน “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย”
โดยชี้ว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของนโยบาย “Make America Great Again” โดยสหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าราว 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หากเก็บภาษีเพียง 10% ก็จะสร้างรายได้ถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ทันที
นั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้สหรัฐฯ ใช้นโยบายภาษีโดยแบ่งเป็น
- ขึ้นภาษีนำเข้า 10% กับทุกประเทศ
- ขึ้นภาษีรายสินค้า เช่น เหล็กและอลูมิเนียม 25%
- รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ กำลังเตรียมขึ้นภาษีเป็น 25% ในเดือนพฤษภาคม
- จำกัดสิทธิประโยชน์แก่ชาวต่างชาติ เช่น นักเรียนต่างชาติ และแรงงานที่เข้าประเทศ
นโยบายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพในสหรัฐฯ ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น และเงินเฟ้ออาจยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังต้องการให้ราคาพลังงานภายในประเทศลดลง ด้วยการผลักดันการขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งชี้ว่าเขาไม่เชื่อในแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด หรือการลดคาร์บอน
ไม่เพียงเท่านั้นทรัมป์ยังส่งสัญญาณลดบทบาทระหว่างประเทศ รวมถึงความช่วยเหลือแก่ประเทศพันธมิตร เช่น ไต้หวันและญี่ปุ่น โดยเสนอให้ประเทศเหล่านั้นจ่ายเงินหากต้องการการปกป้องจากทหารสหรัฐฯ ยกเว้นเพียงอิสราเอลที่ยังได้รับการสนับสนุน
ดร.กิริฎาเตือนว่า หากความช่วยเหลือด้านความมั่นคงลดลง อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในภูมิภาค เช่น กรณีหากจีนรุกไต้หวัน หากเส้นทางเดินเรือในภูมิภาคถูกปิดล้อม ไทยจะประสบปัญหาในการส่งออกไปยังญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ เพราะต้องใช้เส้นทางขนส่งนั้น โดยต้นทุนโลจิสติกส์จะสูงขึ้นอย่างมาก
โอกาสสินค้าไทยแทรกตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะเข็มฉีดยา
คาดการณ์ว่าภาษีของแต่ละประเทศจะไม่กลับไปเป็นศูนย์แน่ๆ แต่ในแง่ของโอกาสคือสินค้าไทยบางรายการอาจมีโอกาสแทรกตลาดสหรัฐฯ แทนสินค้าจีน เช่น “เข็มฉีดยา” ที่จีนถูกเก็บภาษีสูงถึง 245% ขณะที่ไทยอยู่เพียง 15% ซึ่งไทยมีศักยภาพแข่งขันได้
ส่วนสินค้าหลักอื่น ๆ ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ (สัดส่วน 60%) นอกจากนั้นก็เป็นอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เฟอร์นิเจอร์
ในด้านการนำเข้า สหรัฐฯ อาจใช้การเปิดตลาดเป็นเงื่อนไข เช่น การลดภาษีนำเข้าสินค้าอเมริกาอย่าง ถั่วเหลือง ข้าวโพดอาหารสัตว์ เบียร์ ไวน์ ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้สินค้าเหล่านี้มีราคาถูกลงในไทย
อย่างไรก็ตาม จีนเองก็จะหันมาส่งสินค้าเข้าตลาดไทยมากขึ้นเช่นกัน เพราะสินค้าหลายรายการจะหาตลาดใหม่แทนตลาดสหรัฐฯ
ผลกระทบต่อผู้ผลิตไทย
การเข้ามาสินค้า จีน สหรัฐ แม้ว่าผู้บริโภคไทยอาจได้สินค้าในราคาถูกลง แต่ผู้ผลิตไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากจีนและสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องจักร อะไหล่ วัตถุดิบ ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าหลักจากจีน หลายธุรกิจในไทย นำเข้าจากจีนเพื่อลดต้นทุน และแนวโน้มนี้จะยิ่งเพิ่มขึ้น
การค้าขายกับชาวโลก
เมื่อมาดูการค้าขายกับชาวโลก ไทยติด Top5 ส่งออกและนำเข้า รวมกันในสัดส่วนเศรษฐกิจมากสุดในโลก เพราะการส่งออกไทย 60% ของ GDP ส่วนการนำเข้าก็คิดเป็น 60% GDP รวมเป็น 120% ของมูลค่าเศรษฐกิจไทย เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามท ี่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกกระทบรายรับของไทยทั้งนั้น
สหรัฐเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดในไทย เป็น 20% หรือเป็น 1 ใน 5 ส่วนการนำเข้า มาจากจีน 25% ส่วนอีก 75% นำเข้าจากที่อื่นในโลก ดังนั้นจีน และสหรัฐ จึงสำคัญกับไทยมาก
อย่างไรก็ตาม เราคงต้องรักษาตลาดสหรัฐ เอาไว้ และกระจายออกไปสู่ตลาดอื่น ๆ ด้วย เพราะสหรัฐอาจพึ่งพาได้ยากขึ้น
การมี Trade War ทั้งโลก ดีมานด์จะโตช้า ความต้องการสินค้าโตช้า จากการประมาณการณ์ซัพพลายเชนในโลกเริ่มย้ายฐานการผลิตกันแล้ว ไทยได้รับอานิสงส์ ตรงนี้ อาจจะน้อยกว่าเวียดนาม แต่ก็ยังได้อยู่
อย่างตัวเลขที่มาขอการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็นการอนุมัติเงินลงทุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ BOI ตั้งมาเลย เพราะมีประเทศสนใจมาลงทุนในไทยเยอะมาก
กว่าครึ่งมาจากจีน อีกครึ่งมาจาก 4 แห่ง ในสหรัฐ ไต้หวัน ยุโรป ญี่ปุ่น จะเห็นว่าไทยเป็นกลาง สามารถดึงดูดการลงทุนได้ทั้งสองข้าง แต่ไม่ใช่ว่าอนุมัติแล้วจะได้เลย ต้องใช้เวลา 1 ปี ถึงปีครึ่ง กว่าจะสร้างโรงงาน กว่าจะได้ผลิต ส่งออก แต่ประมาณการณ์ได้ว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะมีการผลิตมากขึ้นแน่นอน
โลกแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ไทยอยู่กลุ่มไหน?
ดร.กิริฎา เผยว่า โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว อย่างน้อย 50-60 ปี เพราะการที่โลกไม่โลกาภิวัฒน์ แล้วก็แบ่งแยก ทำให้ซัพพลายเชนในโลกเปลี่ยนไปหมด ไม่กลับมาง่ายๆ จะเห็นว่า ในโลกอีกหน่อยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
1.สหรัฐฯ อาจแยกตัวไป เพราะตั้งกำแพงภาษีจนไม่มีใครเชื่อถือแล้ว ทั้งเรื่องการค้าการลงทุน
2.จีน และประเทศที่เป็นเพื่อนจีน เช่น อิหร่าน รัสเซีย อัฟฟิกา และบางประเทศในอาเซียน
3.ยุโรป และประเทศที่เป็นเพื่อนยุโรป เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และบางประเทศในอเมริกากลางและใต้ เป็นต้น ค้าขายลงทุนกันอยู่ในกลุ่มของตนเอง
4.กลุ่มเป็นกลาง เหยียบเรือทุกลำ อยากค้าขาย ลงทุนกับประเทศทั้ง 3 กลุ่ม เช่น อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ
บทบาทเงินดอลลาร์ลดลง
และเมื่อโลกแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ไม่ใช่ไม่ค้าขายกันข้ามกลุ่ม ยังมีบ้าง แต่ไม่มากเหมือนสมัยก่อน ทำให้ในโลกทางเศรษฐกิจ แบ่งแยก การค้าการลงทุน ซัพพลายเชน เทคโนโลยี ปรับหมด ส่วนสกุลเงินก็ต้องปรับเหมือนกัน เช่น ฮ่องกง อาจไม่ได้เป็น Financial Hub อีกต่อไป เพราะอยู่ใกล้จีน
ตอนนี้ ดูไบ กำลังกลายเป็น Financial Hub ใหม่ ฉะนั้นช่องทางการเงิน อีกหน่อยต้องผ่านดูไบแทน
หรือถ้าค้าขายกับจีนก็ต้องใช้ระบบจีน สุดท้ายคือ Currency ดอลลาร์อาจมีความสำคัญลดลงในอนาคต เพราะถ้าค้าขายในกลุ่มตนเอง เช่น
ค้าขายใน "กลุ่มจีน" อาจใช้ "สกุลหยวน" มากขึ้น
ค้าขายใน "กลุ่มยุโรป" อาจใช้ "สกุลยูโร" มากขึ้น
ดังนั้นดอลลาร์อาจใช้น้อยลงในโลกนักลงทุนก็อาจจะต้องถือเงินหลายสกุล
TDRI เสนอแผนรับมือ-กระจายความเสี่ยง
อนาคตในโลกแบ่งแยกขนาดนี้ คำว่า การกระจายความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญมาก
รัฐบาลการค้าขายต้องมีการขยายตลาดมากขึ้น ส่วนเอกชน ต้องไม่พึ่งพาตลาดเดียว การลงทุนต้องกระจาย การออมต้องเก็บมีบ้าง ไม่เช่นนั้นเราไม่สามารถบริหารความเสี่ยงได้
เราต้องใช้ความเป็นกลางในการดึงดูดการลงทุน เราต้องมีการปรับทักษะที่รองรับกับการลงทุนในอนาคต ที่รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยปรับ Skills ของแรงงาน
นอกจากนี้รัฐบาลควรให้การสนับสนุนเรื่องพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอน ราคาพลังงานต้องไม่แพงเกินไป และสนับสนุนเรื่องการทำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้มีการใช้งานในการสนับสนุนธุรกิจได้มากขึ้น
และการเตรียมเรื่องการเงินและการคลังของประเทศให้มีความพร้อม เนื่องจากเงินเฟ้อในโลกนี้จะเริ่มลง และอัตราดอกเบี้ยสามารถที่จะลดลงได้ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้ ประมาณ 2 ครั้ง โดยในส่วนนี้ดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงเหลือ 1.75% ในสิ้นปี ซึ่งจะช่วยประชาชนและภาคธุรกิจได้ ซึ่งต้องทำควบคู่กับการลดหนี้ครัวเรือน และเพิ่มรายได้ประชาชน
ส่วนการเตรียมการเรื่องของนโยบายการคลัง ซึ่งรัฐบาลต้องมีการเตรียมเงินไว้สำหรับอนาคต โดยเราอาจจะไม่มีศักยภาพในการก่อหนี้มากขึ้นนอนาคตทรัพยากรที่เรามีอยู่ต้องใช้จำกัด การแจกเงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ต้องไปใช้ในเรื่องของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งหากเราใช้เงินการคลังไม่ดี หากถูกลดเครดิตเรตติ้งเราจะสะเทือนมาก เรื่องนี้รัฐบาลต้องวางแผนในเรื่องของใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


