ผู้ผลิตอาหารสัตว์ เสนอเร่งเจรจาสหรัฐ-ลดข้อจำกัดนำเข้าวัตถุดิบ
สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ เสนอไทยเร่งเจรจาสหรัฐเรื่องภาษี ปรับโควต้านำเข้าวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ และประกันราคาในประเทศ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันตลาดโลก
นายสมภพ เอื้อทรงธรรม เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ในงานเสวนา Roundtable “Trump’s Global Quake: Thailand Survival Strategy” ภายใต้หัวข้อ “The Great Trade War : กลยุทธ์ ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก” จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า ปัจจุบันประเทศไทยผลิตอาหารสัตว์ได้ราว 21 ล้านตัน ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวเฉลี่ยเพียง 1.1% ต่อปี
เนื่องจากข้อจำกัดด้านวัตถุดิบทำให้เราโตช้า จากผลผลิตอาหารสัตว์ทั่วโลกอยู่ที่ 1,200 ล้านตัน เรากลับผลิตอาหารสัตว์ได้ 2% โดยส่วนหนึ่งของผลผลิตไทยถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ
ส่วนการซื้อวัตถุดิบอาหารสัตว์ในไทยอยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นปริมาณราว 20 ล้านตัน แบ่งเป็นวัตถุดิบนำเข้า 60% ในประเทศ 40% เช่น ข้าวโพด 4.7 ล้านตัน นอกนั้นเป็นมันสำปะหลัง และข้าว ขณะที่วัตถุดิบที่ต้องนำเข้าทั้งหมด ได้แก่ เมล็ดถั่วเหลือง (สำหรับสกัดกากถั่ว) ราว 5 ล้านตัน และคาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ อีกประมาณ 4-5 ล้านตัน
จาก 300,000 ล้านบาท สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าให้อุตสาหกรรมปศุสัตว์กว่า 600,000 ล้านบาท และและแปรรูปเป็นอาหารสร้างมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยราว 20% ของผลิตภัณฑ์แปรรูปดังกล่าวถูกส่งออก เช่น ไก่แปรรูป และกุ้งแปรรูป
ไก่-กุ้งแปรรูป
ปีที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกไก่แปรรูปมูลค่าราว 150,000 ล้านบาท ส่วนกุ้งส่งออกลดลงเหลือประมาณ 45,000 ล้านบาท โดย 25% ของกุ้งส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะจากอินเดีย ส่งออกไปสหรัฐเป็นหลัก โดยภาษีเดิม 4% ถูกเพิ่มเป็น 30% ขณะที่ไทยโดน 36% เอกวาดอร์ เดิม 8% ถูกเพิ่มเป็น 18% และเวียดนามสูงถึง 46% หากประเทศคู่แข่งเหล่านี้สามารถเจรจาลดภาษีได้ ก็จะยิ่งกระทบการส่งออกกุ้งของไทยมากขึ้น
“หากการส่งออกกุ้งลดลง จะกระทบถึงวงจรอาหารสัตว์ทั้งหมด” นายสมภพกล่าว
วัตถุดิบข้าวโพด
ด้านวัตถุดิบข้าวโพด ไทยมีความต้องการใช้ 9.2 ล้านตันต่อปี ผลิตในประเทศได้เพียง 4.7 ล้านตัน โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ไทยมีข้อจำกัดเรื่องโควต้านำเข้าข้าวสาลี ซึ่งกำหนดให้ต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน เพื่อแลกกับการนำเข้าข้าวสาลีซึ่งราคาต่ำกว่า 1 ส่วน ส่งผลให้มีการนำเข้าข้าวสาลีราว 1.6 ล้านตัน และนำเข้าข้าวโพดจากเมียนมาอีกประมาณ 2 ล้านตัน ทั้งนี้มีประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเผาพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งทั้งไทยและเมียนมาต้องพัฒนาระบบปลูกโดยไม่เผา
นอกจากนี้ ข้าวโพด ยังมีข้อจำกัดด้านพันธุกรรม (GMO) โดยผลผลิตข้าวโพดของสหรัฐต่อไร่สูงกว่าของไทยถึง 2.5 เท่า ขณะที่ต้นทุนแรงงานในไทยแม้จะต่ำกว่า แต่คิดเป็นสัดส่วนต้นทุนถึง 30% ของการผลิต ในขณะที่สหรัฐมีสัดส่วนแรงงานเพียง 3-4% ของต้นทุนทั้งหมด ส่งผลให้ข้าวโพดไทยแข่งขันลำบากในตลาด
"พ่อค้าและเกษตรกรกังวลว่าการนำเข้าข้าวโพด GMO จากสหรัฐอาจกระทบราคาภายในประเทศ แต่เรามองว่าหากอุตสาหกรรมโตได้ ก็จะส่งผลดีในภาพรวม ทำให้มีรายได้เข้าสู่ประเทศมากขึ้น และสามารถยกระดับราคาภายในประเทศได้” นายสมภพระบุ พร้อมแนะว่าการผลิตในประเทศควรพัฒนาเทคนิคและคุณภาพให้แข่งขันได้มากขึ้น
ถั่วเหลือง สหรัฐส่งไปจีนไม่ได้ ต้องหาที่ปล่อยไปประเทศอื่น
ในส่วนของถั่วเหลือง ทั่วโลกผลิตได้ 420 ล้านตัน มีการซื้อขายระหว่างประเทศ 180 ล้านตัน โดยจีนเป็นผู้นำเข้าหลัก คิดเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณซื้อขายทั้งหมด ขณะที่ผู้ผลิตหลักคือบราซิล (160 ล้านตัน) และสหรัฐอเมริกา (118 ล้านตัน)
ปัจจุบันบราซิลส่งถั่วเหลืองให้จีนถึง 60 ล้านตัน ส่วนสหรัฐส่งให้จีน 30 ล้านตัน แต่ต่อจากนี้จะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี สหรัฐก็จะส่งไปให้จีนไม่ได้อีก ดังนั้นบราซิลก็จะส่งถั่วเหลืองไปให้จีนทั้งหมด คาดราว ๆ 90 ล้านตัน ดังนั้นสหรัฐก็จะเหลือถั่ว และต้องหาทางปล่อย ทั้งลดราคา หรือส่งประเทศอื่น
สำหรับไทย นำเข้าเมล็ดถั่ว และกากถั่วราว 6 ล้านตันต่อปี โดย 90% มาจากบราซิล และ 3-4% จากสหรัฐ หากไทยสามารถยกเลิกภาษีนำเข้า 2% สำหรับกากถั่วเหลืองจากสหรัฐได้ จะช่วยให้สามารถแข่งขันกับบราซิลได้มากขึ้น
เสนอยกเลิกข้อจำกัดนำเข้าวัตถุดิบ ประกันราคาในประเทศ
สุดท้าย นายสมภพเสนอว่า หากมีการปรับกฎระเบียบเรื่องการยกเลิกโควต้าให้มีวัตถุดิบมากขึ้น และทำให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ขยายตัวได้ก็จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถอุดหนุนเกษตรกรได้ด้วย ทั้งนี้ ผู้เพาะปลูกในประเทศเองจะต้องมีการปรับตัวเพิ่มผลิตภาพการปลูกข้าวโพดและลดต้นทุนด้วย
ดังนั้นการเปิดทางเพื่อนำเข้าวัตถุดิบ และประกันราคาสินค้าเกษตรในประเทศ เพื่อผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น จะดีกว่าการนำเข้าสินค้าปลายทาง
สำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มีศักยภาพในการเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐ 3 ตัว มูลค่ารวมราว 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้นำเสนอตัวเลขดังกล่าวให้รัฐบาลทราบแล้ว และหากอุตสาหกรรมขยายตัวได้ปีละ 3-5% ก็ยังสามารถขยายตัวได้มากขึ้น
หากประเทศไทยสามารถปรับเงื่อนไขการนำเข้าวัตถุดิบ พร้อมกับมีมาตรการประกันราคาภายในประเทศ จะช่วยให้การเลี้ยงสัตว์เติบโต สร้างรายได้ให้ประเทศ และแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ


