posttoday

TDRI ชี้แจกเงินหมื่นไร้ประสิทธิภาพ แนะปรับโครงสร้างทางศก.ดัน GDPไทยโต 2.8%

18 กุมภาพันธ์ 2568

นักวิชาการ TDRI ชี้เศรษฐกิจไทยปี68 เติบโตในระดับสมดุลที่ 2.8% ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แนะรัฐบาลยกเลิกมาตรการแจกเงิน 10,000 เพราะมีประสิทธิภาพต่ำ และหันมาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในตลาดโลก

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวกับสำนักข่าวโพสต์ทูเดย์ ถึงกรณี สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า ในแต่ละปี สภาพัฒน์จะพยากรณ์อนาคตเศรษฐกิจไทยทั้งแบบค่ากลาง และแบบช่วง โดยในปี 2568 ได้กำหนดค่ากลางที่ 2.8% และคาดการณ์แบบช่วงที่ 2.3-3.3% การกำหนดค่ากลางที่ 2.8% สอดคล้องกับการเติบโตตามศักยภาพของไทยที่ 2.7%-3.0% สะท้อนเศรษฐกิจที่เติบโตได้ในจุดที่สมดุล ไม่จำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 

แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงที่คาดการณ์ที่ห่างกัน 1% แสดงถึงความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบทำให้เศรษฐกิจไทยอาจจะเติบโตสูงกว่าหรือต่ำกว่าค่ากลาง ช่วงที่คาดการณ์นี้ไม่ได้กว้างมาก จึงไม่ได้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเจอกับปัจจัยที่กระทบหนักๆ ดังนั้น รัฐจึงควรกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะกรณีที่ทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจมีการชะลอตัวกว่าที่คาด เช่น ถ้ามีแนวโน้มจะเติบโตเหลือ 2.3% ถึงควรเริ่มพิจารณากระตุ้นเศรษฐกิจ

ดร.นณริฏ กล่าวเสริมว่า จากการวิเคราะห์ส่วนตัว มองว่า อนาคตเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตในช่วง 2.4-2.8% โดยมีค่ากลางที่ 2.6% ถือได้ว่าใกล้เคียงกันกับที่รัฐบาลคาดการณ์ จึงน่าจะมีความเป็นไปได้ที่ไทยจะโต 2.8% 

โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันเริ่มเห็นชัดว่าชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศักยภาพการเติบโตที่เคยสูงถึง 3.6% ต่อปี เหลือเพียง 2.7%-3.0% ต่อปี ในขณะที่ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ได้แก่ ปัญหา Geopolitics ที่ทวีความรุนแรงจากการขึ้นมาของทรัมป์ มาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้า ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ปัญหาหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่สูงของไทย และ ปัญหาการเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หนึ่งประเด็นที่ดร.นณริฏชี้ให้เห็นคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการแจกเงิน 10,000 บาทที่ผ่านมาของรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่นำมาใส่ในคาดการณ์จีดีพีของสภาพัฒน์ฯ เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพที่ต่ำมาก โดยการจ่ายเงิน 1 บาท อาจเกิดผลดีเพียง 0.4-0.9 บาท ซึ่งแสดงให้เนว่ามาตรการแจกงเนไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ เป็นเพียงการประคองเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น

ดังนั้น รัฐบาลต้องยกเลิกการออกมาตรการกระตุ้นในระยะสั้น และต้องหันมาเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยด่วน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมและภาคบริการในบางจุดที่ทำให้โลกเห็นว่าไทยเป็นคู่แข่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพของธุรกิจไทยในการผลิตสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น


รัฐบาลควรจะนำเงินไปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับโครงการเศรษฐกิจที่ไม่ได้หมายถึงการลงทุน เช่น สร้างถนน ปรับปรุงท่าเรือ แต่เป็นการเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจไทยสามารถผลิตสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อตลาดโลกได้ดีมากขึ้น ได้เข้าไปมีส่วนในสินค้าเทคโนโลยีมากขึ้น

ดร.นณริฏ ยังระบุด้วยว่า การแจกเงิน 10,000 เฟส 3 จะมีประสิทธิภาพแย่ที่สุด เนื่องจากผู้ได้รับเงินไม่ได้ยากจน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทันที และยิ่งเศรษฐกิจเติบโตใกล้ศักยภาพไปแล้วยิ่งไม่มีช่องว่างที่จะต้องกระตุ้นให้เศรษฐกิจโตให้ทันศักยภาพ

ในส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ เห็นมองว่า มาตรการทางการเงินถูกจำกัดโดยทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งยังคงคาดการณ์ว่าจะไม่มีการปรับดอกเบี้ยในปีนี้ (หรือปรับน้อยครั้ง) กนง.จึงอาจจะต้องคงดอกเบี้ยนโยบายไว้เพื่อให้สอดคล้องกับสหรัฐฯ และ เพื่อเป็นกระสุนเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจขึ้นในอนาคต

สุดท้าย เมื่อเทียบอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในปีนี้ ตัวเลขอาจเห็นว่าเศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในภูมิภาค แต่การเทียบการเติบโตของไทยกับอาเซียนไม่สามารถเทียบได้ตรงไปตรงมา ต้องเทียบระดับการพัฒนาด้วยครับ ปัญหาของไทยคือ เราเติบโตได้ในระดับกลางๆ แต่ประเทศ เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย เติบโตในระดับสูง เปรียบเหมือนเราเป็นเด็กเรียนกลางๆ ในห้อง เทียบกับเด็กเก่งของห้อง

เราไม่ได้แย่ แต่เราไม่โดดเด่น ถ้าอยากโดดเด่นต้องทำอะไรเพิ่มอีกมาก เช่น ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยเร่งด่วน

ข่าวล่าสุด

เสนอพรรคการเมือง 3 ทางออก ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้อง 'ห้ามซื้อขาย' เด็ดขาด