ดีอี-AOC เตรียมทำถังซิมผี กวดขันค่ายมือถือ ป้องมิจฉาชีพ
ดีอี-ศูนย์ AOC เตรียมทำถังข้อมูลเบอร์มือถือซิมมิจฉาชีพ แยกค่าย จี้ผู้ให้บริการกวดขันเปิดใช้งานซิม เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนความรับผิดชอบธนาคาร-ค่ายมือถือ หลังเข้าใจผิดว่าได้เงินคืนทุกกรณี
นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) สายด่วน 1441 กล่าวว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี( ครม.) เห็นชอบใน พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งผ่านความเห็นของ ครม. แล้วนั้น ถือเป็นกรอบในการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหา โดยทางทางศูนย์ AOC กำลังจะดำเนินการแยกเลขหมายโทรศัพท์มือถือ ที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำผิดว่าเป็นของค่ายมือถือใดบ้าง เพื่อให้เห็นสถิติ ช่วยให้ค่ายมือถือมีการกวดขันเข้มงวดในการอนุญาตให้เปิดซิมการ์ดในการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม AOC ได้ประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อทำถังข้อมูล กลุ่มเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผู้เสียหายโทรฯแจ้งเข้ามา ว่าเป็นของค่ายมือถือไหนบ้าง หลังจากที่ผ่านมาสามารถดูข้อมูลได้ว่า ธนาคารใดมีบัญชีม้าที่นำไปใช้ทำผิดกฎหมายบ้าง ทำให้บัญชีม้าลดลงกว่า 40% และธนาคารมีกวดขันสอบถามผู้มาเปิดบัญชีธนาคารมากขึ้น ซึ่งหากแบ่งแยกได้ว่า เบอร์โทรศัพท์มือถือเป็นของค่ายใดบ้าง จะช่วยกวดขันเรื่องซิมที่ถูกนำไปทำผิดกฎหมาย มากขึ้น
หลังจากที่ผ่านมามีการจับกุมซิมการ์ดของทางตำรวจจากแก็งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก และยังมีกรณีในอดีตมีการแจกซิมการ์ด หรือขายพ่วงแจกซิม ทำให้การลงทะเบียนยืนยันตันตนเปิดใช้งานเบอร์อาจไม่มีความเข้มงวดเต็มที่
นายเอกพงษ์ กล่าวต่อว่า พ.ร.ก. ฉบับแก้ไข เป็นกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ร่วมแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ แต่ต้องไปลงรายละเอียดเพิ่มเติม อย่างเช่น เรื่อง ธนาคารและผู้ให้บริการมือถือต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความเสียหายนั้น ก็ต้องดูรายละเอียดว่า ทางธนาคารและค่ายมือถือได้หละหลวม ไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดหรือไม่
ตอนนี้ประชาชนเข้าใจผิดไปทางเดียวกันว่าจะได้เงินคืนหมด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริง ต้องไปดูด้วยว่า ผู้ใช้งานเป็นคนโอนเอง หรือเกิดจากความโลภ อยากได้เงินจากการชักชวนของมิจฉาชีพหรือไม่ จากสถิติกว่า 90% เจ้าของเบอร์มือถือ หรือผู้ใช้งานแอปธนาคารจะเป็นผู้กดโอนเองโดยที่ไม่รู้ตัว
ดังนั้นจะต้องมีการลงรายละเอียดในการพิสูจน์เรื่องความรับผิดชอบ และเชื่อว่าทางธนาคารคงมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อเตือนผู้ใช้งานเพิ่มอีก ขณะเดียวกับทางศูนย์ AOC ก็จะมีการทำประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเข้าใจไปในทางเดียวกัน
นายเอกพงษ์ ยกตัวอย่างว่า กรณีที่ธนาคารต้องรับผิดชอบ คือกรณี บัญชีม้าที่ถูกประกาศเป็นบัญชี เอชอาร์ 03 แล้ว แต่ธนาคารยังไม่ปิด หรือปล่อยให้ยังใช้ทำธุรกรรมได้ แม้ว่าทางหน่วยงานรัฐแจ้งไปแล้ว ซึ่งหากถูกนำไปใช้รับโอนเงิน หรือหลอกเหยื่อ กรณีแบบนี้ทางธนาคารจะต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายด้วย
ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากวงการกฎหมาย กล่าวว่า พ.ร.ก.ที่แก้ไขนี้ เป็นการเขียนเพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมายอื่นๆในการให้อำนาจแต่ละหน่วยงานมีอำนาจในการทำงาน จากเดิมที่เรื่องบางเรื่องไม่กล้าทำเพราะกฎหมายของตนเองไม่ได้ระบุอำนาจไว้
ดังนั้นการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ได้เข้มงวดถึงขั้นระบุสัดส่วนการชดใช้ค่าเสียหายแบบสิงคโปร์ และกฎหมายก็รู้ว่าอาจเป็นช่องของมิจฉาชีพที่แฝงตัวเป็นเหยื่อ ผู้เสียหายไม่ได้รับเงินทันทีจากค่ายมือถือ หรือ ธนาคาร หากแต่ต้องมีการร้องเรียน หรือ พิสูจน์ทราบก่อน ว่าเส้นทางการถูกหลอกลวงเป็นอย่างไร หลักฐานทางดิจิทัลสามารถพิสูจน์ทราบได้ ท้ายที่สุดแล้วการคืนเงินเป็นดุลพินิจของศาล
นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวยังเป็นการปิดเส้นทางโอนเงินไปยังคริปโตด้วยการกำหนดโทษสำหรับผู้โอนเงินและเจ้าของแพลตฟอร์มคริปโตที่ไม่ได้รับอนุญาตด้วย ซึ่งเป็นช่องทางทีมิจฉาชีพนิยมถ่ายโอนเงินผู้เสียหายออกไปให้เป็นเงินสกุลดิจิทัล


