posttoday

เครดิตบูโรชงงดให้กู้คนค้างค่าน้ำ-ไฟ

26 มกราคม 2554

เครดิตบูโรชงกฎหมาย เก็บประวัติจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ใครค้างจ่าย ขอกู้เงินไม่ได้ คาดได้ข้อสรุป มิ.ย. 

เครดิตบูโรชงกฎหมาย เก็บประวัติจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ใครค้างจ่าย ขอกู้เงินไม่ได้ คาดได้ข้อสรุป มิ.ย. 

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ(เครดิตบูโร)  เปิดเผยว่า ขณะนี้เครดิตบูโรอยู่ระหว่างการระดมความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโร  ซึ่งจะเพิ่มเติมให้เครดิตบูโรจัดเก็บประวัติการชำระค่าระบบสาธาณูปโภค เช่นค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าโทรศัพท์  คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อนำเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณาออกเป็นกฎหมายต่อไป และคงจะสามารถบังคับได้ภายใน1-2 ปีนี้

“ทั่วโลกมีจัดเก็บข้อมูลประวัติการชำระค่าระบบสาธารณูปโภคแล้วแต่ไทยยังไม่มีการจัดเก็บ ซึ่งมีผลตอ่การประเมินของธนาคารโลกที่ให้ที่จัดอันดับความน่าลงทุนและความยากง่ายในการเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย รวมทั้งเป็นข้อมูลพื้นฐานการพิจารณาสินเชื่อ”นายสุรพลกล่าว 

นายสุรพลกล่าวว่า ในปี 2554 เครดิตบูโรตั้งเป้าหมายจะมีอัตราการเติบโต 10-12 %   ทั้งจำนวนสมาชิกและฐานลูกค้าบัญชีสินเชื่อ เนื่องจากขยายตัวตามอัตราการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งประมาณการว่าจะขยายตัว 10-11 %และนโยบายประชาวิวัฒน์ของรัฐบาลที่จะดึงลูกหนี้ในระบบเข้าสู่ระบบ  สำหรับการจัดทำเครดิตสกอร์ริ่ง  ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดพฤติกรรมและความตั้งใจชำระหนี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบความแม่ยำของระบบซึ่งคาดว่าจะ จะเริ่มใช้ได้ในเดือนเม.ย.นี้  โดยหากลูกค้าได้คะแนนสูงหรือมีความเสี่ยงการผิดชำระน้อยก็มีโอกาสที่จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ในปี 2553  เครดิตบูโรมีสมาชิก 72 รายตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้น  80 ราย โดยขณะนี้มีบริษัทให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์(มอเตอร์ไซด์) ในต่างจังหวัดจำนวนมากสนใจที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกเครดิตบูโร รวมทั้งเตรียมที่จะดึงสหกรณ์ออมทรัพย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) ให้เข้ามาเป็นสมาชิก  จำนวนบัญชี 62.11 ล้านบัญชี แบ่งเป็นบัญชีบุคคลธรรมดา 58.36 ล้านบัญชีและบัญชีนิติบุคคล 3.75 ล้านบัญชี และมีการสืบค้นข้อมูลของสถาบันการเงินเพื่อพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ 15.92 ล้านบัญชี

“จากฐานข้อมูล 58 ล้านบัญชี เป็นบัญชีที่มีความเคลื่อนไหว 37 ล้านบัญชี คิดเป็น 72 %   ซึ่งในจำนวนนี้เป็นบัญชีปกติ 31.4 ล้านบัญชีคิดเป็น 85 %   และมีบัญชีที่มีการค้าชำระเงิน 90 วันขึ้นไป 5.6 ล้านบัญชี 15 % ของจำนวนบัญชีทั้งหมด คิดเป็นวงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 9 % ของยอดสินเชื่อคงค้าง ซึ่งยอดเอ็นพีแอลไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการให้สินเชื่อมากขึ้น   นอกจากนี้มีการปิดบัญชีหยุดส่งข้อมูล 21 ล้านบัญชีหรือ 28% 

ข่าวล่าสุด

อัปเดต! เลือกตั้งล่วงหน้าวิธีลงทะเบียน-ใช้สิทธิ์ 3 ช่องทาง