posttoday

หุ้นไทยสัปดาห์หน้าเล็งถึง1,400จุดเงินบาทสัปดาห์หน้า36-36.80 บาท/ดอลลาร์

30 มีนาคม 2567

หุ้นไทยสัปดาห์หน้าช่วง 1,360 -1,400 จุด ส่วนเงินบาทสัปดาห์หน้า 36-36.80 บาท/ดอลลาร์ ติดตามดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค. ของไทย และโฟลว์เงินทุนต่างชาติ

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 5 เดือนที่ 36.54 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนฟื้นตัวกลับมาปลายสัปดาห์ 
เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก แต่เริ่มทยอยอ่อนค่ากลับมาในช่วงกลางสัปดาห์ หลังข้อมูลการส่งออกไทยออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด (การส่งออกเดือนก.พ. +3.6% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ +4.2% YoY) 
นอกจากนี้ เงินบาทยังอ่อนค่าลงตามการเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค นำโดย เงินเยนที่ทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบ 34 ปี และเงินหยวนของจีนท่ามกลางการคาดการณ์ว่า อาจเห็นสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินจากทางการจีนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด (อาทิ จีดีพีไตรมาส 4/2566 ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย) และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งสะท้อนว่า จังหวะเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อาจไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้   
อย่างไรก็ดี เงินบาทล้างช่วงอ่อนค่าและฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปลายสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ 
ในวันศุกร์ที่ 29 มี.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 36.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 36.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 มี.ค. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 25-29 มี.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 113.4 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 14,482.2 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 15,194.2 ล้านบาท หักตราสารหนี้ที่หมดอายุ 712 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (1-5 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้าที่ระดับ 36.00-36.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของไทย สัญญาณเงินทุนต่างชาติ และทิศทางของค่าเงินเอเชีย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนมี.ค. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.พ. รวมถึงข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของยูโรโซน และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนมี.ค. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษ

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง 
หุ้นไทยร่วงลงช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนจะดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมาจนถึงช่วงกลางสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยบวกจากตัวเลขส่งออกเดือนก.พ.ของไทยที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง และการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อหุ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ไฟแนนซ์และอสังหาริมทรัพย์ 
อย่างไรก็ดีหุ้นไทยร่วงลงในเวลาต่อมาตามแรงขายทำกำไรของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยมีแรงซื้อหลักๆ จากหุ้นกลุ่มพลังงานเข้ามาหนุนตามอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น   
ในวันศุกร์ที่ 29 มี.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,377.94 จุด ลดลง 0.22% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 34,835.00 ล้านบาท ลดลง 23.97% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.86% มาปิดที่ระดับ 411.72 จุด

สัปดาห์ถัดไป (1-5 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,370 และ 1,360 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,385 และ 1,400 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค. ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนมี.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมี.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน