วิภารัตน์ ทองบุญเมืองส่งNAcDroneสู่อาเซียนจองที่1โดรนเพื่อการเกษตรในไทย
วิภารัตน์ ทองบุญเมือง สร้างกิจการจาก passion ส่ง NAcDrone ทะยานสู่น่านฟ้าอาเซียน พร้อมยืนหนึ่งโดรนเพื่อการเกษตรในไทย เติมความรู้พัฒนาทีมงานมุ่งช่วยเกษตรกรพ้นกับดักความยากจน
แรงบันดาลใจแรกของการก่อตั้งกิจการ บริษัท อีซี่ (2018) จำกัด จุดประกายขึ้นเมื่อราว 8 ปีก่อน ที่ระหว่างที่ขณะนั้นครอบครัวทำธุรกิจโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ โดยเริ่มจากอัศวิน โรมประเสริฐ ผู้ก่อตั้ง มีความชื่นชอบในงานจิตอาสาบรรเทาสาธารณภัย และเล่นโดรนเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว จึงตัดสินใจนำโดรนมาใช้ช่วยเหลือค้นหาผู้ประสบภัยและคิดอยากผลิตโดรนกู้ภัยขาย แต่ ณ เวลานั้นอาจจะยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม กระทั่งต่อมาเกิดเหตุการณ์ที่เกษตรกรเสียชีวิตจากการฉีดพ่นยาด้วยตัวเอง จึงนำไปสู่แนวคิดที่จะทดลองดัดแปลงโดรนที่มีอยู่ให้เป็นโดรนเพื่อเกษตร ซึ่งเริ่มที่ให้เกษตรกรทดสอบใช้ฟรีตามแปลงนาใกล้เคียงก่อน จนแน่ใจแล้วว่าสามารถใช้งานได้จริง แล้วค่อย ๆ ผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
กระทั่งก่อตั้งธุรกิจโดรนเพื่อการเกษตรในชื่อ NAcDrone ภายใต้บริษัท อีซี่ (2018) จำกัด เมื่อปี 2561 จนบริษัทค่อย ๆ พัฒนาและเติบโตอย่าต่อเนื่อง จนปัจจุบันได้ผลิตโดรนให้แก่เกษตรกรไทยได้ใช้ทั่วประเทศถึง 2,300 ลำ) ซึ่งถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองไทย (จากปัจจุบันที่ทั้งประเทศใช้งานรวม 10,000 ลำ) และทำรายได้รวมแตะ 203 ล้านบาทไปแล้วในปี 2566 โดยโรงงานมีกำลังการผลิต อยู่ที่ 200 ลำ/เดือน พร้อมมีศูนย์บริการแล้วกว่า 65 แห่งจากคำบอกเล่าของ วิภารัตน์ ทองบุญเมือง กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท อีซี่ (2018) จำกัด รวมถึงในฐานะภรรยาของอัศวิน โรมประเสริฐ
ทั้งนุ้ย (วิภารัตน์) และคุณอัศวินทำงานร่วมกันมาตั้งแต่วันแรกของบริษัท แม้เราจะแบ่งหน้าที่กันให้คุณอัศวินดูแลงานวิจัยและงานพัฒนา ส่วนนุ้ยก็ดูแลเรื่องการเงิน ระบบงานหลังบ้าน HR งานบุคคล และงานพัฒนาบุคคล แต่สุดท้ายก็ทำด้วยกันแทบทุกงานอยู่ดี
วิภารัตน์ยังถ่ายทอดแนวทางการพัฒนาโดรนเพื่อการเกษตรของ NAcDrone ที่ผ่านมาว่า เริ่มจากเข้าไปพูดคุยถึงความต้องการและ pain point ของการทำเกษตรกรรมก่อนว่ามีความจำเป็นอย่างไร มีปัญหาและอุปสรรคในจุดไหนบ้าง จนได้ข้อมูล แล้วนำมาเป็นโจทย์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระทั่งปัจจุบัน NAcDrone สามารถช่วยงานเกษตรกรครอบคลุมทั้งฉีดพ่น พร้อมหว่านเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยได้ด้วย จนขณะนี้ผลิตรวมแล้วถึง 8 รุ่นที่ราคาระหว่าง 200,000 ถึง 500,000 บาทต่อลำ
อย่างไรก็ตามจุดเด่นที่สำคัญของ NAcDrone เริ่มจากที่ประกอบในเมืองไทย 100% จึงสะดวกในการซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่ ดังนั้นหากชำรุดเสียหายก็ไม่ต้องเสียเวลารออะไหล่นาน รวมถึงยังใช้ UTI Platform (Unmanned Aircraft System Traffic Management) ที่บริษัทพัฒนาร่วมกับพันธมิตร ในการควบคุมและเก็บข้อมูลของโดรน บนระบบ cloud data center ในเมืองไทยด้วย จึงไม่มีข้อมูลของการใช้งานโดรนจะรั่วไหลออกไปต่างประเทศ
ด้วย UTI Platform ทำให้ NAcDrone มีความแม่นยำสูงและความคลาดเคลื่อนต่ำ ที่สำคัญสามารถตรวจสอบได้ว่าโดรนของเราบินอยู่ที่ไหนในประเทศไทย หรือ หากมีลำใดก็ตามที่ออกไปนอกประเทศ เราก็รู้และติดตามข้อมูลและตรวจสอบได้ด้วยว่าโดรนเราบินไปแล้ว บินไปพื้นที่เท่าไหร่ ฉีดพ่นเท่าไหร่ น้ำเท่าไหร่ ประสิทธิภาพเป็นยังไง ซึ่งเหล่านี้คือจุดแข็งของ NAcDrone
พัฒนาแอปเช่าโดรน
วิภารัตน์ยังบอกเล่าถึงแผนงานในอนาคตสำหรับ NAcDrone อีกว่าจะขยายธุรกิจในส่วนการให้เช่าโดรนเพิ่มขึ้น หลังจากริเริ่มมาได้ราว 2 ปีก่อน หลังมองว่าเกษตรกรมีความต้องการใช้โดรนมากขึ้นแต่อำนาจการซื้อเริ่มลดลง โดยบริษัทมีแผนจะพัฒนาแอพพลิเคชั่นในลักษณะโดรนเติมเงินสำหรับลูกค้าที่สนใจจะเช่าโดรนไปใช้งานเพื่อการเกษตร ที่คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวภายในกลางปี 2567
สำหรับรูปแบบการใช้งานแอปเช่าโดรนคือ ลูกค้าที่เช่าจะต้องเติมเงินเข้ามาในระบบก่อน เช่น สมมติปล่อยเช่าโดรนไร่ละ 30 บาท ซึ่งหากเกษตรกรจะใช้งานบินในพื้นที่ 500 ไร่ ก็ต้องเติมเงินมาก่อนที่ 15,000 บาท หรือ 30 X 500 แล้วหากบินครบตามพื้นที่่ 500 ไร่แล้วโดรนก็จะหยุดบินอัตโนมัติ
เช่นเดียวกับที่บริษัทยังมีแผนขยายเรื่องการสนับสนุนทางการเงินให้แก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อโดรนไว้ใช้งานด้วย จากเดิมที่สามารถขอสินเชื่อเช่าซื้อจากบริษัทลิสซิ่งที่เป็นพันธมิตรอยู่แล้ว 2 ราย ก็จะติดต่อมาเพิ่มอีก รวมถึงจะเริ่มมีธนาคารพาณิชย์มาให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นด้วย
ทะยานสู่น่านฟ้าอาเซียน
NAcDrone เริ่มออกสู่ตลาดต่างประเทศในกลุ่มอาเซียนครั้งแรกเมื่อปี 2563 คือที่เมียนมาร์ก่อนเป็นประเทศแรกแต่ก็ต้องสะดุดเล็กน้อยเพราะเกิดสงครามในประเทศ แล้วจึงตามมาด้วยเวียดนามในปีถัดมา กระทั่งปัจจุบันได้ขยายไปยังตลาดอินโดนีเซียและกัมพูชาแล้ว ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะส่งโดรนไปขายทั้ง 9 ประเทศในอาเซียน ซึ่งหากสามารถมียอดขายเติบโตได้เท่ากับในเมืองไทย ก็ถือว่าประสบความสำเร็จกับการไปขยายธุรกิจในต่างแดนแล้ว
วิภารัตน์ยังเล่าถึงแนวทางส่งออก NAcDrone ไปตลาดต่างประเทศอีกว่า จุดสำคัญอันดับแรกคือการมีพันธมิตรที่ดี โดยเฉพาะในต่างประเทศ โดยบริษัทจะแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ Mudon Maung Maung สำหรับเมียนมาร์ เวียดนามคือ ANGIMEX (An Giang ) ส่วนกัมพูชาคือ AZ Group และในอินโดนีเซียให้บริษัท Mark Plus และ PT Petosida Gresik เป็นตัวแทนจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม นอกจากตลาดอาเซียนแล้ว ยังส่ง NAcDrone ไปรัสเซียผ่านทางพันธมิตรคือ Ural Federal University อีกทั้งด้วยข้อดีของโดรนสัญชาติไทยที่สามารถส่งออกได้ทุกประเทศ จึงวางแนวทางส่งออกไปยังประเทศเกษตรกรรมอันดับต้นของโลก เช่น อินเดียและบราซิล ซึ่งได้เริ่มเสนอราคาให้ลูกค้าในบราซิลแล้ว 200 ลำ
ไม่เพียงขยับขยาย NAcDrone ให้ไปบินเหนือน่าฟ้าตลาดอาเซียนแล้ว วิภารัตน์ยังเปิดเผยอีกเป้าหมายสำคัญของบริษัทว่าคือการชิงส่วนแบ่งตลาด 20% ของการใช้งานโดรนอย่างเต็มประสิทธิภาพของไทยที่ 80,000 ภายใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้ยังคงรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งของโดรนเพื่อการเกษตรในไทยไว้
เติมความรู้พัฒนาทีมงาน
จากโจทย์ที่ "การขาดแคลนแรงงาน" เป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญของธุรกิจผลิตและจำหน่ายโดรน เนื่องจากธุรกิจโดรนยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ จึงไม่ได้มีหลักสูตรหรือวิชาที่สอนเรื่องนี้โดยตรงในระบบการศึกษาของไทยโดยเฉพาะมหาวิทยาลัย ดังนั้นในด้านการพัฒนาทักษะสำหรับทีมงานของบริษัท จึงต้องถ่ายโอนข้อมูลและความรู้ พร้อมกับต้องเริ่มฝึกอบรมต่าง ๆ ใหม่ให้กับพนักงานทั้งหมด นอจากนี้ยังดูแลเรื่องการออกใบอนุญาตการบินโดรนให้กับนักบินด้วย
ทั้งนี้- แม้บริษัทจะตั้งต้นและให้ความสำคัญที่การเติมความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรมาโดยตลอดตั้งแต่แรกเริ่ม แต่วิภารัตน์มองว่าด้วยธุรกิจที่ต้องพึ่งพานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่ตลอด จึงยังคงต้องเร่งสร้างคนให้มีทักษะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบุคลากรที่สามารถนำไปต่อยอดเพิ่มจำนวนทีมงานที่มีความพร้อมมากขึ้น จึงต้องการมุ่งพัฒนาครูการบินโดรนเพิ่มจากปัจจุบันที่บริษัทมีอยู่เพียง 4 คน
นอกจากนี้บริษัทยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ในการพัฒนาหลักสูตร รวมถึงมีการพัฒนาบุคลากรและส่งนักศึกษาที่ทั้งเข้ามาเรียนและฝึกงานด้วย ได้แก่ สร้างหลักสูตรฝึกอบรมผู้ควบคุมโดรนการเกษตรกับสถานบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม สร้างหลักสูตรโดรนเกษตรออนไลน์กับคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำโครงกาารส่งเสริมกิจกรรมทางวิชาการการวิจัยกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ไม่ใช่แค่สอนทีมงาน แต่เรายังต้องสอนลูกค้าให้บังคับโดรนเป็นด้วย ซึ่งค่อนข้างยากมากสำหรับลูกค้า แรก ๆ ต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะทำได้
วิภารัตน์ ได้ทิ้งท้ายเป็นบทเรียนและแนวทางให้แก่ผู้ประกอบอื่น ๆ ว่า จุดสำคัญมากในการทำธุรกิจ คือ ต้องมีความรู้ก่อน ถ้าไม่รู้ ต้องเรียนให้รู้ ต้องรู้ลึก รู้จริง เพียงแค่รู้อาจไม่พอ จะต้องอยู่ในทิศทางและที่ทางที่ถูกต้องด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ ทีมงาน ต้องสร้างทีมงานที่มีความสุขกับงานและพร้อมเดินไปด้วยกัน หากเรามีทั้งความรู้ อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง และมีทีมงานที่ดี เราจะเดินทางไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้แน่นอน


