posttoday

เงินบาทอ่อนสุดใน10เดือนครึ่งต่างชาติเทหุ้นไทยกดต่ำสุดใน3เดือน

30 กันยายน 2566

เงินบาทอ่อนสุดในรอบ 10 เดือนครึ่งสวนทางเงินดอลลาร์ คาดแตะ 36.20-36.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนด้วยแรงขายของต่างชาติ เล็งสัปดาห์หน้าแนวรับที่ 1,460 และ 1,440 จุด

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาททำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 10 เดือนครึ่งที่ 36.83 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ก่อนฟื้นตัวได้บางส่วนปลายสัปดาห์ โดยเงินบาททยอยอ่อนค่าลง ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ท่ามกลางสัญญาณคุมเข้มทางการเงินจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด ซึ่งสะท้อนโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

นอกจากนี้การปรับตัวลงของราคาทองคำและการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ก็เป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน อนึ่ง เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า แม้ว่า กนง. จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ระดับ 2.50% ในการประชุมวันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชันและทำกำไรก่อนปิดสิ้นไตรมาส ขณะที่ตลาดกลับมารอติดตามความเสี่ยงของการปิดหน่วยงานราชการของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด 

ในวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 36.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ 36.01 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 ก.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 25-29 ก.ย. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 3,025 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 11,695 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 6,520 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 5,175 ล้านบาท) 

สัปดาห์ถัดไป (2-6 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 36.20-36.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและภาคบริการ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ย. รายงาน JOLTs ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเดือนก.ย. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษด้วยเช่นกัน 

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
ดัชนีหุ้นไทยปิดต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวลงเกือบตลอดสัปดาห์ตามแรงขายหลักๆ จากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ การตรึงดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานของเฟด ความเสี่ยงของการปิดหน่วยงานราชการสหรัฐฯ ตลอดจนปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

ทั้งนี้แรงขายบิ๊กล็อต (Big Lot) ในหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งกดดันหุ้นไทยให้ร่วงลงต่อในช่วงท้ายสัปดาห์สวนทางหุ้นภูมิภาค อนึ่ง หุ้นไทยขยับขึ้นช่วงสั้นๆ กลางสัปดาห์ นำโดย กลุ่มแบงก์ที่รับอานิสงส์จากการที่กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ไปที่ระดับ 2.50% 

   
ในวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,471.43 จุด ลดลง 3.36% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 55,326.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.33% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 4.45% มาปิดที่ระดับ 450.53 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (2-6 ต.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,460 และ 1,440 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,485 และ 1,500 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI การจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนก.ย. ของญี่ปุ่น อังกฤษและยูโรโซน ตลอดจนยอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ของยูโรโซน