posttoday

เอกชน ขานรับ เศรษฐา นายกฯ เชื่อมั่นบริหารเศรษฐกิจไทยเดินหน้า

22 สิงหาคม 2566

เอกชน ชี้เศรษฐานั่งนายกฯ สร้างความมั่นใจภาคเอกชน ดันจีดีพีปีนี้โตเกิน 3% ขอเฟ้นทีมเศรษฐกิจมีฝีมือร่วมงาน ส่งสัญญาณภาระกิจเร่งด่วน 100 วันแรกให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังรัฐสภามีมติเห็นชอบให้ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่วันนี้การเลือกนายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการสำเร็จจนเป็นที่เรียบร้อย เป็นไปตามความต้องการของหลายฝ่ายที่ต้องการให้ประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่เร็วที่สุด เพื่อเข้าสู่โหมดการเดินหน้าเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยหลังจากนี้คงเป็นไปตามกระบวนการทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่จะต้องมีการฟอร์ม ครม.ชุดใหม่ ซึ่งต้องติดตามว่าจะมีบุคคลใดมาประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี โดยภาคเอกชนหวังว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและตำแหน่งต่าง ๆ จะมีการพิจารณาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นผู้เชี่ยวชาญและเหมาะสมในแต่ละด้านอย่างแท้จริง 

 

สำหรับประเด็นข้อเร่งด่วนที่หอการค้าฯ ต้องการส่งสัญญาณถึงรัฐบาลใหม่เพื่อให้เร่งดำเนินการทันทีในช่วง 100 วันแรก ของการรับตำแหน่ง ได้แก่ 

 

1) การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนภาคเอกชนทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ที่ยังอยู่ในระดับสูงและปัญหาที่กระทบต่อการแข่งขันและการส่งออกของไทย รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ

 

2) เร่งเสริมความโดดเด่นภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายและถือเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนให้รวดเร็ว และการเพิ่มเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น
 

 

3) เร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังค้างท่ออยู่ และจัดทำงบประมาณรายจ่าย 2567 ให้เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนแผนงานต่างๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ ๆ จากต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเป็นผลดีต่อตัวเลขการส่งออกในอนาคต

 

หอการค้าฯ ได้มีการหารือกับคณะกรรมการและสมาชิกถึง 3 ประเด็นข้างต้น เพื่อนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่พิจารณาดำเนินการทันที เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะซึมตัวต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ยังมีความรุนแรงอยู่ หากประเทศไทยมีรัฐบาลในช่วงเวลานี้ก็จะสามารถช่วยดึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและภาคธุรกิจต่าง ๆ กลับมาที่ประเทศไทยได้ ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเองก็มีความน่าเป็นห่วง สะท้อนจากตัวเลขสภาพัฒน์ ที่เปิดเผยออกมา Q2/2566 GDP โตเพียง 1.8 (ต่ำกว่าที่คาดไว้ 3.0) โดยเฉลี่ยครึ่งปีแรก GDP โตเพียง 2.2 ซึ่งปัจจุบันแม้จะมีรัฐบาลรักษาการแต่การขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ไม่สามารถดำเนินการได้เต็มที่ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างจำกัดซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตหลุดเป้า 3.0 ในปีนี้ 

 

“หอการค้าฯ มั่นใจว่า รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ จะมีการเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังและตรงจุด รวมถึงดำเนินการตาม 3 ประเด็นเร่งด่วนตามข้อเสนอของหอการค้าไทย ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในช่วง Q4 ของปีนี้กลับมาเติบโตได้โดดเด่น และทำให้ภาพรวมสามารถเติบโตตามเป้าหมายได้
เกิน 3.0%” นายสนั่น กล่าว

 

ดร.พจน์ อร่ามวัตนานนท์ รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า ถือว่าปัญหาการเลือกนายกฯ การจัดตั้งรัฐบาลเริ่มคลี่คลาย หลังจากนี้เอกชน ต้องการเห็นหน้าตาครม.ที่ประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความเหมาะสมกับกระทรวง สามารถบริการเศรษฐกิจไปในทิศทางที่ถูกต้อง และมีการบริหารงานที่มีธรรมภิบาล 


สำหรับ มาตรการเร่งด่วนที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการ คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะภาคส่งออก ซึ่งเป็นแรงพลักดันสำคัญของเศรษฐกิจไทยได้หดตัวลงต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน ตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นเครื่องยนต์สำคัญ ที่รายได้รวมก็เริ่มชะลอลง

 

นอกจากนี้ ภาคเอกชน และนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ระหว่างการรอฟังความชัดเจนนโยบายของรัฐบาลใหม่ เพื่อใช้ในการพิจารณาทิศทางการลงทุนต่อไป จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนจากรัฐบาลเดินหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้อยากให้รัฐบาลใหม่ สานต่อนโยบายลงทุนของรัฐบาลที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการลงทุน เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และโลจิสติกส์ส่วนจะมีนโยบายอะไรใหม่ก็สามารถทำได้เช่นกัน

 

ด้าน นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ว่า การได้ตัวนายกฯ ทำให้เอกชนคลายกังวล เพราะถือว่าไทยได้ผ่านวิฤกตทางการเมืองแล้ว ขณะที่ภาคเอกชนก็มีความเชื่อมั่น ในชื่อ ของนายเศรษฐา เพราะเป็นนักธุรกิจ มีความรู้ มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจหลายแสนล้าน จึงไม่จำเป็นต้องมาเรียนรู้งานตั้งแต่เริ่มต้น และเชื่อมั่นว่า นายเศรษฐาบริหาร นำพาประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ภายใต้ทีมเศรษฐกิจมือดี ในหลายสาขามาช่วยบริหารงานได้


“จากการพูดคุยเอกชน เชื่อมั่นชื่อคุณเศรษฐา เพราะเขามีประสบการณ์บริหารธุรกิจ เชื่อมั่นเขานำพาเศรษฐกิจประเทศไปได้ และต่อไปคุณเศรษฐาต้องนั่งหัวโต๊ะบริหารเศรษฐกิจเอง ขอย้ำให้เฟ้นหาทีมงานที่มีฝีมือ เป็นทีมที่มีความแข็งแกร่ง มีประสบการณ์หลากหลายสาขามาช่วยงานได้”นายธนิต กล่าว

สำหรับมาตรการที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินงานภายใน 1 เดือนแรก คือ 


1. อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการบริโภค หลังการบริโภคในประเทศตอนนี้เริ่มแผ่วตัวลง 


2.เร่งปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ ผ่านโครงสร้างหนี้ในโครงการคลินิกแก้หนี้ ที่งบยังคงค้างอยู่ 1.1 ล้านล้าน ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อายุโครงการได้หมดเวลาไปแล้วตั้งแต่ 31 ก.ค. 2566 จึงอยากขอให้รัฐบาลใหม่เร่งประกาศขยายเวลาโครงการใหม่ไปจนถึงสิ้นปี 2566 ถ้าไม่ขยายโครงการ ตามระเบียบแล้วลูกหนี้ทั้งหมดต้องเข้าสู่กระบวนการ NPL และกระบวนการทางศาล จะทำให้ธุรกิจชะงักต้องหยุดชะงัก และระดับหนี้จะเพิ่มขึ้น สถาบันการเงินก็จะไม่ปล่อยสินเชื่อ 


ส่วนมาตรการที่ควรทำภายใน 3 เดือน คือ การแก้ไขปัญหาสภาพคล่องภาคธุรกิจ โดยการปล่อยกู้รอบ 2-3 อีก ในวงเงิน 2 แสนล้านบาท หลังจากที่เคยเปิดให้กู้ดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 5 แสนล้านในช่วงโควิด ซึ่งตอนนี้วงเงินใกล้หมดแล้วในช่วงสิ้นปี เพื่อหนุนสภาพคล่องภาคธุรกิจเร่งอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจก่อน เพราะตอนนี้ทั้งภาคเอกชน และประชาชน ขาดปัญหาสภาพคล่อง

 

ขณะที่ปัญหาการส่งออก มองว่า รัฐบาลใหม่ต้องมีแนวทางในการเร่งแก้ปัญหาในระยะยาว เพราะตอนนี้ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่หนักไปทั่วโลก โดยต้องเริ่มจากช่วยเรื่องภาพคล่องก่อน เพื่อให้เขาพยุงธุรกิจต่อไปได้ก่อน นอกจากนี้ อย่าเพิ่งปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในระยะเวลาอันใกล้นี้เพราะจะยิ่งซ้ำเติมภาคธุรกิจ หากจำเป็นต้องทำตามนโยบาย ก็ขอให้พิจารณาในปีหน้า 
 


 

ข่าวล่าสุด

LIVE ถ่ายทอดสด ตะกร้อทีมเดี่ยวหญิง ไทย พบ เวียดนาม วันนี้ 20 ธ.ค.68