posttoday

สิริพงศ์ จึงถาวรรณขับเคลื่อนแพลตฟอร์โลจิสติกส์ MELOG ลดภาระธุรกิจขนส่ง

20 สิงหาคม 2566

สิริพงศ์ จึงถาวรรณ ขับเคลื่อนแพลตฟอร์โลจิสติกส์ MELOG (Independent Driver Platform : แพลตฟอร์มรถร่วมเถ้าแก่น้อย) เชื่อมลูกค้าและเจ้าของรถ แก้ pain point ลดภาระธุรกิจขนส่ง เตรียมปักธงตลาดต่างแดนและเดินหน้าระดมทุนผ่าน LiVEx

แรงบันดาลใจแรกเริ่มที่ทำให้ สิริพงศ์ จึงถาวรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวนการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท มีล็อก จำกัด (MELOG) เกิดแนวคิดที่จะพัฒนาแพลตฟอร์โลจิสติกส์ MELOG (Independent Driver Platform : แพลตฟอร์มรถร่วมเถ้าแก่น้อย) หลังเขามีโอกาสได้ให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการขนส่งมากกว่า 200 ราย ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ที่ผ่านมา

จนพบว่าผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (Logistics Service Provider: LSP) ส่วนใหญ่ สามารถสร้างผลกำไรได้น้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้รวม ถึงกับมี LSP บางรายทำกำไรได้เพียง 1 – 5% ดังเช่น LSP รายหนึ่งทีมียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท แต่กลับทำกำไรเพียง 10 ล้านบาท เช่นเดียวกับที่อีกหลายราที่ต้องขาดทุน จนเลือกเดินออกจากธุรกิจโลจิสติกส์ไปก็มี ด้วยเพราะเป็นธุรกิจที่แข่งขันด้านราคากันอย่างร้อนแรง

ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การแจ้งเกิดแพลตฟอร์ม MELOG คือหลังจากที่สิริพงศ์ ได้มีโอกาสให้คำปรึกษาและพูดคุยกับลูกค้าซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนส่ง METRANS คือ สานิตย์ สงสุรินทร์ (กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มอีทรานส์ จำกัด) ที่ปัจจุบันเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีล็อก จำกัด  จึงเกิดแนวคิดที่จะสร้างแอพพลิเคชั่นขึ้นมาเพื่อแก้ pain point ที่ทาง METRANS และ LSP รายอื่น ๆ ต้องเผชิญอยู่ นั่นคือ

1) การบริหารต้นทุนขนส่ง (Cost) เพราะต้นทุนขนส่งส่วนใหญ่กว่า 50 - 60% มาจากต้นทุนในด้านการดำเนินงาน ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง ยาง น้ำมันเครื่อง การซ่อมบำรุง การเกิดอุบัติเหตุ และการบริหารจัดการ ดังนั้นหากสามารถลดต้นทุน KSF คือ บาท/กิโลเมตร ได้ ทางผู้ประกอบการก็จะได้กำไรมากขึ้น จากการนำเอาเทคโนโลยีโลจิสติกส์ (LogTech) มาช่วยอำนวยความสะดวก เหมือนโปรแกรม ERP ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่กรณีนี้จะเป็น ERP สำหรับธุรกิจขนส่งและกระจายสินค้า

2) การติดตามสถานะ (Status) ทำให้ผู้เป็นเจ้าของรถบรรทุกไม่ต้องกังวัลใจกับพนักงานขับรถ ตัวรถบรรทุก หรือสินค้าที่จะต้องส่งไปยังจุดหมายปลายทางให้ตรงเวลา โดยนำเทคโนโลยีโลจิสติกส์ มาช่วยในการติดตามสถานะ พร้อมทั้งอัพเดทได้ตลอดเวลา และรวมไปถึงศึกษาพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถบรรทุก

3. การจัดการที่ทันสมัย (Management) เพื่อยกระดับภาคการขนส่งที่พบว่าจากผู้ประกอบการ 25,500 ราย มีมากกว่า 98% ยังไม่ได้รับรองมาตรฐาน Q-Mark จึงมีเพียง 2% เท่านั้นที่ได้รับการรับรอง รวมไปถึงการต่อยอดด้านบริการการเงิน เพื่อให้เครดิตสกอร์สำหรับผู้ขับรถมืออาชีพ จะสามารถนำเงินมาหมุนในธุรกิจได้

แพลตฟอร์โลจิสติกส์ MELOG (Independent Driver Platform : แพลตฟอร์มรถร่วมเถ้าแก่น้อย)

ส่ง MELOG สู่ตลาด

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่สิริพงศ์เป็นนักศึกษาปริญญาเอก ด้านโลจิสติกส์และการจัดการซัพพลายเชน หลักสูตรนานาชาติ ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ซึ่งมีนโยบายส่งเสริมให้นักศึกษานำผลงานไปสร้างเป็นธุรกิจได้จริงและมีทุนสนับสนุนผลงานวิจัย จึงนำไปสู่การก่อตั้งกิจการสตาร์ทอัพในนาม บริษัท มีล็อก จำกัดขึ้น

หลังจากแนวคิดการสร้างแอพพลิเคชั่นตกผลึก จึงนำโครงการไปเสนอกับสจล. กระทั่งได้รับการสนับสนุนทุนจากโครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น (TED Youth Startup) ของกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED FUND) จำนวน 1.5 ล้านบาทและผู้ก่อตั้งทั้งสองต่างใส่ทุนอีกคนละ 200,000 บาท แล้วนำไปสู๋การเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์โลจิสติกส์ MELOG หรือแพลตฟอร์มรถร่วมเถ้าแก่น้อย) เมื่อปี 2565 ซึ่งใช้เวลาพัฒนาอยู่ราวครึ่งปี จึงสำเร็จและเริ่มทดลองใช้จริงอย่างเป็นทางการแล้ว 

สิริพงศ์ จึงถาวรรณขับเคลื่อนแพลตฟอร์โลจิสติกส์ MELOG ลดภาระธุรกิจขนส่ง

แม้ขณะนี้ยังไม่ได้มี transaction จำนวนมาก แต่เราก็มองว่าจะค่อย ๆ สร้างและมีจำนวนรถเพิ่มเข้ามา ซึ่งเป้าหมายสำคัญคือต้องการให้เกิด market place จริง ๆ แต่ช่วงแรกต้องให้มีรถหรือ user เข้ามาใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อน

ทั้งนี้ MELOG เริ่มให้ผู้ขับรถรายย่อยเข้ามาใช้บริการได้ฟรีใน 3 เดือนแรก โดยเน้นกลุ่มเจ้าของรถบรรทุกอิสระที่มีมากกว่าแสนราย และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์อีกกว่า 25,500 ราย รวมไปถึงรถบรรทุกที่จดทะเบียนกับกรมขนส่งกว่า 1.5 ล้านคัน (ได้แก่ รถบรรทุก รถกระบะ รถตู้) ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าร่วมทดลองใช้งาน app แล้ว 50 คัน ที่เป็นทั้งลูกค้าบริษัทโลจิสติกส์และกลุ่มลูกค้ารายย่อยหรือเถ้าแก่น้อย โดยบริษัทมีรายได้จากการใช้งานที่เดือนละ 500 บาท/เดือน/คัน 

คุณสมบัติที่สำคัญของ MELOG จากคำบอกเล่าของสิริพงศ์คือ ในระยะแรกจะมีระบบติดตามรถบรรทุก ที่สามารติดตามได้ว่าจะวิ่งไปที่ใดบ้าง ไปจอดตามจุดต่าง ๆ (Multidrop) คำนวณต้นทุน บาท/กิโลเมตร การใช้ความเร็วที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การใช้ยาง การแจ้งเตือนการซ่อมบำรุง และติดตามรถในกองยานพาหนะทุกคัน รวมไปถึงการสรุปรายได้ในแต่ละเดือน และการควบคุมมาตรวัดที่สำคัญในงานโลจิสติกส์  และขยายบริการ Marketplace ฝั่งลูกค้าที่ต้องการหาผู้ขนส่งเข้าไปรับของจะโพสงานได้ ฝั่งความต้องการ (Demand) และอีกด้านจะเป็นฝั่งอุปทาน (Supply) เจ้าของรถ และตัวแทน ก็สามารถเข้ามาโพสรับงานได้ ดูระยะทาง ประเภทรถ และค่าบริการในระบบ ต่อยอดไปถึงการบริหารรถ และการจัดการงานซ่อมบำรุงและจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ โดยนำพันธมิตรมาทำงานร่วมกัน เช่น ผู้ผลิตยาง ผู้ผลิตน้ำมันเครื่อง ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถบรรทุก ฯลฯ   

สำหรับระยะต่อไปจะนำระบบ Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ ( AI) เข้ามาช่วยให้ระบบศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ขับรถบรรทุก ลักษณะเส้นทาง การวิ่ง การทำเวลา รวมถึงคาดการณ์ด้านการขนส่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานของวงการโลจิสติกส์ในประเทศไทยให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ต่อยอดเพิ่มในส่วนอะไหล่

app ของเราน่าจะช่วยผู้ประกอบการหรือเจ้าของรถบรรทุกรายเล็กได้มาก เพราะเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดเรื่องบประมาณและความเข้าใจในธุรกิจ ซึ่งมองว่าจะต่อยอดไปยังเรื่อง Geen Logistic ได้ด้วยถ้าหลังจากนี้สามารถบริหารเรื่องการใช้น้ำมันได้ดี 

ทั้งนี้สิริพงศ์ คาดหวังว่าภายในปีแรก น่าจะมีรถบรรทุกในระบบราว 200-300 คัน  และภายใน 5 ปี น่าจะอยู่ที่ 20,000 - 30,000 คัน ด้วยการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สมาคมโลจิสติกส์ และผู้ประกอบการที่เรียนหลักสูตรโลจิสติกส์ รวมถึงสื่อสารถึงประโยชน์ของแพลตฟอร์ม MELOG ผ่านทางเพจMELOG Logistics Platform แพลตฟอร์มรถร่วมเถ้าแก่น้อย 

โดยบริษัทวางกรอบหารายได้ไว้ 4 รูปแบบ 1. กลุ่มลูกค้ารายย่อย (B2C) แบบเช่าระบบ อัตรา 500 – 1,200 บาท/คัน (ขึ้นกับ Feature ที่ใช้)  2. กลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) อัตรา 50,000 – 70,000 บาท/องค์กร และมีการดูแลระบบรายปี   3. รายได้ตัวแทน (แบ่งจากการจับคู่งาน) ซึ่งจะมีทีมพัฒนาธุรกิจจัดหางานมาให้ และดูแลเรื่องทีมรถบรรทุกเขารับงานตามสัญญาว่าจ้างเป็นโครงการๆ ไป  4. การฝึกอบรมและให้คำปรึกษา พัฒนาระบบขนส่งและบุคลากรให้เป็นพนักงานมืออาชีพ (Smart Driver)

สำหรับรูปแบบที่ 1 และ 2 ทำได้ทันที แต่มองว่าจะทำได้ครบทั้ง 4 รูปแบบภายในไม่เกิน 2 ปี

ปักธงตลาดต่างแดน-สู่ตลาดหุ้น
เส้นชัยต่อไปของ MELOG ที่สิริพงศ์วางไว้คือการนำแพลตฟอร์มไปเสนอขายแก่บริษัทโลจิสติกส์ในประเทศกลุ่มตลาดเอเชียแปซิฟิคซึ่งรวมแล้วมีจำนวนรถบรรทุกราว 10 ล้านคัน โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่มีจำนวนรถบรรทุกสูงเป็นอันดับหนึ่งที่ 4-5 ล้านคัน เนื่องจากมองว่านวัตกรรมของ MELOG มีศักยภาพเพียงพอที่จะไปให้บริการในตลาดของประเทศต่าง ๆ  ที่มีจำนวนรถบรรทุกจำนวนมากกว่าในไทย จึงมีตลาดใหญ่พอให้เข้าไปสอดแทรกได้ไม่ยาก

เช่นเดียวกับจากการสนับสนุนของ สจล. ทำให้บริษัทมีโอกาสได้ไปเปิดตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ในแง่ความเป็น AI Deep Tech กับ Mobility ที่ประเทศกลุ่มยุโรป เช่น เยอรมนี ที่มีการเติบโตและพัฒนการด้านเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ด้วย ซึ่งมองว่าระบบของ MELOG จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเชื่อมต่อกับระบบบขนส่งมวลชนใน Smart City ได้

ทั้งนี้จากเป้าหมายที่จะมีรถบรรทุกเข้าสู่ระบบ MELOG ที่ขั้นต่ำประมาณ 20,000 คันภายใน 5 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ถึงราว 100 ล้านบาท จะเป็นบันไดก้าวสำคัญให้บริษัทเป็นกิจการสตาร์ทอัพที่มีคุณสมบัติพร้อมระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) หรือศูนย์กลางการซื้อ ขายหุ้นของวิสาหกิจขนาดกลาง (SME) และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ได้

จริง ๆ เราฝันถึงขั้นว่าเข้าไปอยู่ใน SET แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องสร้างรายได้ตามเป้าหมาย จนมีคุณสมบัติผ่านคือรายได้ถึง 50 ล้านบาทก็จะสมัครเข้า LiVE platform และระดมทุนผ่าน LiVEx 

สิริพงศ์ให้มุมมองในฐานะผู้ก่อตั้งกิจการสตาร์ทอัพว่า อุปสรรคหรือความท้าทายสำคัญที่เขาต้องเผชิญ คือการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม MELOG โดยเฉพาะการที่ต้องสื่อสารให้ LSP รับรู้ว่าการใช้งานแล้วมีประโยชน์และมีข้อดีต่อธุรกิจโลจิสติกส์อย่างไร จนตัดสินใจทดลองใช้งานจริง พร้อมฝากถึงเจ้าของกิจการสตาร์ทอัพรายอื่น ๆ อีกว่า หากจะประสบความสำเร็จได้ต้องเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจว่าสามารถขายได้จริงและมีความเป็นไปได้บนหลักการและเหตุผล แต่ที่สำคัญคืออย่าดื้อดึงและหลอกตัวเอง

อย่าหลอกตัวเองและอย่าดื้อ เพราะไม่เช่นนั้น เราก็จะกลายเป็นสตาร์ทอัพซอมบี้ คืออยู่ได้แต่ว่าไม่เติบโต และผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่การทำธุรกิจจะต้องมีจุดที่ develop สินค้าให้ไปต่อได้ หรืออาจจะต้องไปเจอคนใหม่ ๆ หรือหา input ใหม่ ๆ จึงจะทำให้เราเห็นทางออกมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ผู้สนับสนุนและทีมงานก็สำคัญต่อการทำสตาร์ทอัพด้วย 

ข่าวล่าสุด

คลังชง ครม.สัปดาห์หน้า เคาะอัปสกิลร้านค้า คนละครึ่งพลัส 4 แสนราย วงเงิน 800 ล้าน