posttoday

TDRI ชี้เพื่อไทยตั้งรัฐบาล คุมเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ชูสานต่อนโยบายประยุทธ์

20 กรกฎาคม 2566

TDRI ชี้เพื่อไทยได้คุมเศรษฐกิจแน่ หลังพิธาชวดนายกฯ ประเมินเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพมากกว่าก้าวไกลบริหาร นโยบายแจกเงิน digital-ประกันรายได้ 2 หมื่นจะกลับมา ดันเศรษฐกิจระยะสั้นขยายตัวดี-ตลาดหุ้นเติบโต ระยะยาวยังต้องจับตา แต่ไทยจะเสียโอกาสปรับโครงสร้างความเลื่อมล้ำ

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) กล่าวว่า ประเมินจากแนวโน้มทางการเมืองในขณะนี้ คาดได้ว่า พรรคเพื่อไทยจะได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยได้คุมกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ หลังรัฐสภาฯมีมติให้เสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 กระทำไม่ได้ และศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้นายพิธา หยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้ก่อน ระหว่างรอการวินิจฉัย นอกจากนี้ยังต้องลุ้น กรณี พรรคก้าวไกลส่อโดนยุบพรรคหรือไม่ด้วย ดังนั้นทำให้ ตอนนี้โอกาสการจัดตั้งรัฐบาล จะเป็นของพรรคเพื่อไทย 

 

ทั้งนี้ ดร.นณริฏ ได้ฉาย 3 ฉากทัศน์ ทางการเมืองต่อจากนี้ว่า 

1. พรรคเพื่อไทย เสนอว่าจะไม่แตะ 112 และร่วมกับ 8 พรรคเดิม หวังให้ พรรคภูมิใจไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ มาช่วยโหวตนายกฯ โดยไม่สนเสียง สว.

 

2. พรรคเพื่อไทย สลับมาจับมือกับ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และหาเสียงเพิ่ม อาจมีงูเห่าทำให้ได้เกินครึ่ง 250 และหวังให้พรรคก้าวไกล โหวตปิดสวิสต์ สว.ให้ โดยไม่เข้าร่วมรัฐบาล

 

3. พรรคเพื่อไทย จับมือกับ พรรคพลังประชารัฐ และอาจมีพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้เสียง สว.สนับสนุน

 

“ทั้ง 3 กรณี สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นพรรคร่วม จะพลิกเป็นฝ่ายค้าน ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยได้คุมเศรษฐกิจ เราจะได้เห็นนโยบายประชานิยม กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น กลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินแจก digital กับ เงินประกันรายได้ทุกครัวเรือนไม่น้อยกว่า 20,000 บาท ” ดร.นณริฏ กล่าว

 

ทั้งนี้ หากเทียบการใช้งบประมาณประชานิยมของทั้ง 2 พรรค คือ พรรคก้าวไกล กับ พรรคเพื่อไทยถือว่า ใช้งบประมาณเยอะทั้ง 2 พรรค แต่พรรคเพื่อไทยอาจจะใช้งบประมาณทำนโยบายประชานิยมน้อยกว่าพรรคก้าวไกล หากพรรคก้าวไกล มาเป็นรัฐบาลจะต้องเข้ามาหารายได้ภาษี มาสนับสนุนโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น 

 

อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยมาบริหารเศรษฐกิจ คาดว่า เศรษฐกิจในระยะสั้นขยายตัวได้ดี เพราะมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเยอะมาก ทั้งจากนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) กับประกันรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อครัวเรือน และนโยบายพรรคไม่แตะตลาดหุ้น ก็จะทำให้หุ้นเติบโตได้ แต่ในระยะยาวจะเป็นความท้าทายว่าเศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร ต้องดูว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะดันเศรษฐกิจไปในทิศทางไหน และจะประสบความสำเร็จหรือไม่


“ถ้าจะให้สรุป คือ เพื่อไทยมาเศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพกว่าก้าวไกล แต่ไทยจะเสียโอกาสการปรับโครงสร้างความเหลื่อมล้ำต่างๆไป เพราะเพราะก้าวไกลมีนโยบายปรับโครงสร้างเยอะครับ เช่น ลดขนาดข้าราชการ แก้เกณฑ์ทหาร ลดการผูกขาด ส่วนเพื่อไทยก็จะเน้นแจกแบบเดิมๆ” ดร.นณริฏ กล่าว
 

 

ที่ผ่านมา นโยบายเศรษฐกิจ ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯรัฐมนตรี จะเน้นเป็นรูปแบบการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อพัฒนา หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบสินค้า และเทคโนโลยี(new s-curve) กับ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน(BCG) ก็ต้องดูว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะดันเศรษฐกิจไปในทิศทางไหน และจะประสบความสำเร็จหรือไม่ โครงการที่ค้างท่อ คือ รถไฟเชื่อมสนามบิน สนามบินอู่ตะเภา ก็เป็นโครงการที่ต้องดันให้สำเร็จโดยเร็ว


“growth ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมาก็ทำได้ดีพอสมควรครับ ไทยมีจุดขายมากขึ้น ต้องรอดูว่าพรรคเพื่อไทยจะมาสานต่อ หรือจะมีอะไรมาเพิ่มเติม ซึ่งส่วนตัวคิดว่า รัฐบาลใหม่ควรนำนโยบายรัฐบาลเดิมมาสานต่อ เพราะมีความเหมาะสมทางวิชาการ” ดร.นณริฏ กล่าว


สำหรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองต่อเศรษฐกิจไทย ประเมินเบื้องต้นว่า มี 2 ประเด็นในเชิงลบ คือ 1. ถ้าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือได้รัฐบาลเสียงข้างน้อยมาเป็นรัฐบาล จะขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ และ ถ้ามีเหตุการประท้วงรุนแรง จะส่งผลต่อภาพลักษณ์การลงทุนบ้าง และ 2.หากการจัดตั้งรัฐบาลไม่ลากยาวเกิน 3 เดือน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะมีไม่มาก ส่วนม็อบต้องดูระดับการประท้วง ถ้าลงถนน และชุมนุมลากยาว ก็จะกระทบเศรษฐกิจบ้าง