มองคาร์บอนเครดิตให้เหมือนตลาดหุ้น โอกาสใหม่ของ SME
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) มองตลาดคาร์บอนเครดิตเปิดโอกาสใหม่ให้ SME ไทย ย้ำนโยบายทั้งไทยและต่างประเทศตอนนี้พุ่งเป้าจัดการ Carbon Foot Print และบริษัทใหญ่ๆ มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนได้ทัน
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566 คุณเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน ) กล่าวในการสัมนา 'Carbon Credit and Carbon Foot Print :โอกาสหรืออุปสรรคของ SME' จัดขึ้น ณ ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ว่าในอนาคตจะมีการออกนโยบายต่างๆ มาบังคับให้บริษัทต้องจัดการกับก๊าซเรือนกระจกที่ตนเองปล่อยออกมาอย่างเข้มงวดมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แม้ในปัจจุบันก็เห็นได้แล้วว่ามีมาตรการด้านนี้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (ESG) ของบริษัทที่รวมการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการที่กรุงเทพมหานครตั้งเป้า Net Zero ในปี พ.ศ.2065 ซึ่งคาดว่าจะขยายไปตามจังหวัดอื่นๆ ในอนาคต ธุรกิจบางประเภทเช่นธุรกิจการบินในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะต้องเปลี่ยนไปใช้น้ำมันที่เป็น Sustainable Fuel ถ้าหากว่าทำไม่ได้ก็ต้องซื้อคาร์บอนเครดิต มิฉะนั้นจะถูกห้ามบิน หรือในภาคธนาคารเองก็มีกระแสมาแล้วว่าต่อไปนี้การจะปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทใดๆ ในการดำเนินธุรกิจจะต้องมีการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโครงการก่อน และถ้าสูงเกินมาตรฐานจะมีการปรับเกิดขึ้น รวมไปถึงในงานอีเว้นท์ใหญ่ๆ จะต้องมีการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกัน
จากเทรนด์ของโลกและธุรกิจที่เกิดขึ้น จะพบว่ามีบริษัทที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 1,680 องค์กรทั่วโลก และโดยทั่วไปหากเป็นบริษัทใหญ่จะเป็นผู้ปล่อยก๊าซมากกว่า และไม่สามารถชดเชยเครดิตได้เท่ากับการปล่อยอยู่แล้ว จึงเป็นโอกาสให้แก่ SME ที่มีปริมาณมากกว่าสามารถเข้ามาในตลาดนี้ ซึ่งจะกลายเป็นตลาดที่เป็นที่ต้องการในอนาคตแน่นอน
‘ถ้า SME สามารถสร้าง Carbon Credit ได้ ก็สามารถขายต่อต่างประเทศได้ หรือขายให้แก่บริษัทใหญ่ๆ ที่ไม่สามารถจัดการได้ ตลาดคาร์บอนเครดิตจึงประกอบด้วยผู้ปล่อยที่ต้องการลด Carbon Foot Print และผู้ที่สามารถทำคาร์บอนเครดิตเพื่อนำมาหักล้างกัน โดยใช้กลไกนโยบายและกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในการสร้าง Carbon Credit มีต้นทุนในการจ่าย เมื่อทำได้สามารถเก็บเป็นเครดิตเหมือนหุ้นและสร้างผลกำไรได้’
คุณเกียรติชายกล่าวเพิ่มเติมในประเด็นของกลไกการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศว่า ' ทิศทางของประเทศไทยวันนี้ เมื่อมาดูสิ่งที่กำลังจะมาก็คือ เราจะมีการควบคุมการรายงาน Carbon Footprint มีการควบคุมให้สามารถเก็บอัตราการปล่อยเกินเหลือแลกกันได้ มีคาร์บอน TAX และปัจจุบันมีระบบ T-ver และ T-ver Premium เป็นระบบลงทะเบียน และจะมีตลาดการซื้อขายในอนาคตที่เรียกว่า FTIX รวมถึงการใช้เครดิตบางส่วนแบ่งปันกับต่างประเทศได้ผ่านการเห็นชอบจากรัฐ (ITMOs) เพราะฉะนั้นกลไกในประเทศจะต้องทำให้ความต้องการในประเทศต่อเรื่องคาร์บอนเครดิตน้อยกว่าต่างประเทศก่อน ถ้าเราทำได้ เราจะดึงดูดนักท่องเที่ยวและดึงนักลงทุนลงมาลงทุน คุยกับ FTA ก็คุยรู้เรื่องมากขึ้น เพราะเราปฏิบัติตามกระแสตรงนี้’
เบื้องต้นมีการประเมินว่าตลาดการซื้อขาย Carbon Credit จะสูงถึง 325,450 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับ SME ที่สนใจจะต้องมีการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะการจะทำคาร์บอนเครดิตได้นั้นมีรายละเอียดมากมาย เช่น หากอยากจะลงทุนเรื่องการปลูกต้นไม้ ก็จะมีข้อจำกัดว่าต้องเป็นต้นไม้ที่ลงมือปลูกไม่ใช่ต้นไม้ที่ปลูกมานานแล้ว หรือกิจกรรมบางอย่างหากอยู่ในแผนของรัฐ เช่น โครงการ EV ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่และได้ผลมากในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจจะต้องมาตีความอีกทีว่าเป็นโครงการที่ได้เครดิตหรือไม่ เพราะคาร์บอนเครดิตจะต้องเป็นเรื่องที่ทำเพิ่มเติมเป็นพิเศษให้กับประเทศเท่านั้น ไม่ใช่โครงการที่อยู่ในแผนของรัฐ
ทั้งนี้ สำหรับ SME ที่เล็งเห็นถึงโอกาสก็สามารถยื่นเรื่องขอรับรองคาร์บอนเครดิต กับทางองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน ) ซึ่งมีระบบรองรับที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าต่างประเทศ ซึ่งเรียกว่า T-ver และ T-ver Premium โดยจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้แก่
1. การพิจารณาขอบเขตที่ดิน
2. การจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการ
3. ตรวจสอบความใช้ได้ของโครงการ
4. ขึ้นทะเบียนโครงการ เพื่อออกเป็นใบทะเบียนโครงการ (ไม่ใช่ใบรับรองคาร์บอนเครดิต)
5. ติดตามผลและจัดทำรายงาน
6. ทวนสอบปริมาณก๊าซเรือนกระจก
7. รับรองคาร์บอนเครดิต ซึ่งเมื่อได้ใบรับรองแล้ว Carbon Credit ที่สร้างของโครงการจะเข้าไปอยู่ในระบบ
' กระแสของ Carbon Credit เป็นคำตอบของโลก แค่บังคับว่าอย่าปล่อยก๊าซออกมาเยอะนั้นเอาไม่อยู่แล้ว มันจึงเข้าสู่การเปิดโอกาสให้คนที่สามารถทำ Carbon Credit ได้เข้ามา เพื่อสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นได้ Carbon Credit จึงเป็นสิ่งที่ต้องการและเป็นโอกาสของตลาด .. ยิ่งการบังคับโหดมากเท่าไหร่ ความต้องการของตลาดที่ต้องการ Carbon Credit มาชดเชยการปล่อยก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น' ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน ) กล่าว


