posttoday

ต่างชาติเทขายหุ้นและพันธบัตร กดเงินบาทอ่อนค่า แต่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น

27 พฤษภาคม 2566

เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องตามแรงต่างชาติเทขายหุ้นและพันธบัตรไทย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยบวกจากจีดีพีสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นจากสัปดาห์ก่อน แม้ผ่อนแรงลงช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ และนักลงทุนรอติดตามการเมือง

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทอ่อนค่าลงเกือบตลอดทั้งสัปดาห์ โดยทยอยอ่อนค่าลงสอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค และสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ตลาดยังคงติดตามสถานการณ์การเมืองของไทยอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ขยับแข็งค่าขึ้น ตามการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และยังมีแรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าที่คาด  หรือมีปัจจัยบวกจากจีดีพีสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดบางส่วนกลับมาประเมินโอกาสความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในเดือนมิ.ย.ใหม่อีกครั้ง แม้เสียงส่วนใหญ่จะมองว่า เฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมก็ตาม         

ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ 34.77 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ก่อนลดช่วงอ่อนค่าลงมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่ตลาดกลับมารอติดตามผลการประชุมกนง. (31 พ.ค.) และ ข้อสรุปของการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ     

ในวันศุกร์ที่ 26 พ.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.67 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ 34.38 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 พ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 22-26 พ.ค. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นสุทธิ 12,189 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 20,824 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 17,664 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 3,160 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (29 พ.ค.-2 มิ.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 34.30-34.90 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (31 พ.ค.) สถานการณ์การเมืองในประเทศ ตัวเลขการส่งออก/รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนเม.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. ข้อมูล JOLTS เดือนเม.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงาน Beige Book ของเฟด นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษด้วยเช่นกัน 

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
SET Index ชะลอลงปลายสัปดาห์ แต่ยังปิดสูงกว่าสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นในช่วงแรกตามแรงซื้อคืนหลังร่วงลงแรงก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับที่นักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นการเมือง หลังจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับ MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม

ขณะที่หุ้นกลุ่มแบงก์ดีดตัวขึ้น รับโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง. ในการประชุมวันที่ 31 พ.ค. นี้ อย่างไรก็ดี หุ้นไทยย่อตัวลงช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนกลับมารอติดตามประเด็นการเมืองในประเทศ และการเจรจาเพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ นอกจากนี้หุ้นกลุ่มพลังงานยังย่อตัวลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก หลังมีข่าวว่า OPEC+ อาจไม่ปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมในการประชุมรอบหน้า     

ในวันศุกร์ (26 พ.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,530.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.05% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,456.70 ล้านบาท ลดลง 15.57% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.75% มาปิดที่ระดับ 484.38 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (29 พ.ค.-2 มิ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,520 และ 1,500 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,545 และ 1,555 จุด ตามลำดับ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (31 พ.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค.  

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ของจีน ญี่ปุ่นและยูโรโซน รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ค. (เบื้องต้น) ของยูโรโซน