เงินบาทแข็งค่าแตะ 34.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ หุ้นไทยร่วงไม่แผ่ว
เงินบาทแแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ 34.06 บาท จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอดึงดอลลาร์ฯ แผ่ว ส่วน SET Index ปรับตัวลงต่อห่วงเศรษฐกิจในประเทศ บวกเจอแรงเทขายลดเสี่ยง ก่อนการประชุมเฟดสัปดาห์หน้า
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ 34.06 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ โดยเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย แล้วยังมีแรงหนุนจากข้อมูลการส่งออกของไทยที่หดตัวน้อยกว่าคาดในเดือนมี.ค. 2566 และตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในเดือนมี.ค. 2566 ที่บันทึกยอดเกินดุลสูงถึง 4.78 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยภาพดังกล่าวสวนทางเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งเผชิญแรงขาย หลังข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีสัญญาณอ่อนแอ อาทิ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2566 และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐานเดือนมี.ค. 2566 นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งยังคงไม่ได้ข้อสรุป รวมถึง ปัญหาความอ่อนแอของธนาคารบางแห่งในสหรัฐฯ
ในวันศุกร์ที่ 28 เม.ย. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ 34.39 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (21 เม.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 24-28 เม.ย. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยที่ 3,956 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตร 4,389 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 7,741 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้หมดอายุ 3,352 ล้านบาท)
สัปดาห์ถัดไป (1-5 พ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.80-34.40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (2-3 พ.ค.) ธนาคารกลางออสเตรเลีย (2 พ.ค.) และธนาคารกลางยุโรป (4 พ.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย. ของไทย
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน การจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนเม.ย. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน และตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนมี.ค. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI เดือนเม.ย. ของจีน ยูโรโซนและอังกฤษ และอัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย. ของยูโรโซนด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
หุ้นไทยแกว่งตัวอิงขาลงตลอดสัปดาห์ ด้วยเผชิญแรงขายทำกำไรเกือบตลอดสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย หลัง สศค. ปรับลดประมาณการจีดีพีไทยปี 2566 เป็น 3.6% จาก 3.8% เช่นเดียวกับที่นักลงทุนบางส่วนลดสถานะเสี่ยงก่อนวันหยุดยาว และระหว่างรอผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า
สำหรับสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากสุด จากแรงฉุดของหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง หลังผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2566 ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานยังเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ย่อตัวลง
ในวันศุกร์ (28 เม.ย.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,529.12 จุด ลดลง 1.88% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 42,611.43 ล้านบาท ลดลง 17.02% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.32% มาปิดที่ระดับ 501.99 จุด
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (1-5 พ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,515 และ 1,500 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,540 และ 1,555 จุด ตามลำดับ
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลประชุมเฟด (2-3 พ.ค.) ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเม.ย.ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการงวดไตรมาส 1/66 ของบจ.ไทย
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนเม.ย. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม ECB ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเม.ย. (เบื้องต้น) และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. ของยูโรโซน รวมถึงดัชนี PMI เดือนเม.ย. ของจีน


