posttoday

ฝากรัฐบาลใหม่และภาคธุรกิจ รับมือสังคมผู้สูงอายุในไทย มาไวกว่าคาด

09 เมษายน 2566

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงเร็วขึ้น นอกจากกระทบรายได้ภาคเอกชน ยังเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่ต้องเร่งจัดการ เพราะเชื่อมโยงต่อทิศทางเศรษฐกิจภาพใหญ่และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

วันที่ 13 เมษายนของทุกปี นอกจากเป็นวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทยแล้ว ยังถือเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติอีกด้วย และจากกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของหลายประเทศในโลกช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น จีน ที่สูญเสียตำแหน่งจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลกให้กับอินเดีย

เนื่องจากเผชิญการลดลงของจำนวนประชากรเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ทศวรรษ จากการลดลงของอัตราการเกิดและภาวะการเจริญพันธุ์ (Fertility Rate) อย่างมีนัยสำคัญแม้จะผ่อนปรนมาใช้นโยบายลูกคนที่สามตั้งแต่ปี 2564 ก็ตาม ด้านญี่ปุ่น ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรที่ลดลงและความเป็นสังคมสูงอายุเรื้อรังอาจรุนแรงจนกระทั่งญี่ปุ่นอาจหายไปจากแผนที่โลกได้ และทางการเตรียมเพิ่มอายุเกษียณของข้าราชการพลเรือนจาก 60 ปีเป็น 61 ปี

ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เกาหลีใต้ เป็นอีกประเทศที่อัตราการเจริญพันธุ์ลดลงมาต่ำที่สุดแซงหน้าทุกประเทศแม้กระทั่งญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อยู่ระหว่างการปฏิรูประบบบำนาญจนนำมาสู่เหตุประท้วงใหญ่ สำหรับไทยนั้น มีประเด็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเช่นกัน ซึ่งคงเป็นโจทย์สำคัญที่ภาคธุรกิจและรัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งจัดการ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อประเด็นนี้ ดังนี้

ไทยอาจก้าวเป็น Super-Aged Society หรือสังคมสูงอายุขั้นสุดยอด ในปี 2572 เร็วขึ้นกว่าที่หลายฝ่ายเคยประเมินไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2574 เนื่องจาก

1.    ประชากรไทยมีจำนวนลดลงแล้วตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเร็วขึ้นถึง 9 ปีเมื่อเทียบกับที่เดิมเคยคาดกันว่าจะเริ่มลดลงในปี 2572 และจำนวนที่ลดลงนี้เกิดขึ้นติดต่อกันแล้ว 3 ปีในช่วงปี 2563-2565 โดยจำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มแซงหน้าจำนวนเด็กเกิดใหม่ในปี 2564-2565 ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการระบาดของโควิด

2.    อัตราการเกิดและภาวะการเจริญพันธุ์ของไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอัตราการเกิดอยู่ที่เพียง 0.76% ส่วนภาวะการเจริญพันธุ์อยู่ที่ประมาณ 1.33 ขณะที่ ประชากรรุ่น Baby Boomer (เกิดช่วงปี 2506-2526) ราว 1 ล้านคน กำลังจะเข้าสู่ช่วงอายุ 60 ปีเป็นจำนวนมากในปี 2566 นี้ 

3. การปรับเพิ่มอัตราการเกิดและภาวะเจริญพันธุ์อาจไม่ง่ายนัก ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่แน่นอนสูง ประชาชนมีความกังวลต่อความไม่มั่นคงด้านรายได้ในยุคค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลต่อเหตุการณ์แวดล้อมทั้งการเกิดวิกฤตโรคระบาดใหม่ ภัยธรรมชาติ วิกฤตความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ทำให้เกิดค่านิยมที่คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการมีบุตร

ฝากรัฐบาลใหม่และภาคธุรกิจ รับมือสังคมผู้สูงอายุในไทย มาไวกว่าคาด

โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นโจทย์สำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัว เพื่อสร้างโอกาสและเตรียมความพร้อมรับมือกับความท้าทายที่จะตามมา เนื่องจาก

1.    รายได้ธุรกิจอาจถูกกระทบหากลูกค้ายังคงใช้จ่ายไม่ต่างจากเดิม แต่ฐานลูกค้ามีจำนวนที่ลดลงเรื่อย ๆ หมายความว่า หากธุรกิจต้องการรักษาการเติบโตของรายได้ไว้ จำเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้ลูกค้าหนึ่งคนใช้จ่ายมากขึ้นมากเมื่อเทียบในอดีตที่ยังอาศัยการเพิ่มจำนวนลูกค้าได้

ทั้งนี้การใช้จ่ายของลูกค้าจะเพิ่มขึ้น ก็ต่อเมื่อลูกค้าเห็นถึงความคุ้มค่าของสินค้าและบริการนั้น ๆ หรือมิฉะนั้น ลูกค้าก็ต้องมีกำลังซื้อมากขึ้น มีเงินออมสะสม หรือมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง ขณะที่ กำลังซื้อผู้บริโภคในปัจจุบันยังคงมีความเปราะบาง ฟื้นตัวไม่เต็มที่จากวิกฤตซ้อนวิกฤต เงินออมมีน้อย มีหนี้ที่สูง ผลตอบแทนจากการลงทุนมีความผันผวน ซึ่งไปข้างหน้า สถานการณ์ก็คงจะไม่สามารถพลิกเป็นบวกได้อย่างรวดเร็ว

2.    รูปแบบของผลิตภัณฑ์และบริการที่เสนอต่อลูกค้าต้องมีการปรับเปลี่ยน จากผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น สวนทางกับเด็กและวัยทำงานที่มีแนวโน้มลดลง สะท้อนว่า หากผู้ประกอบการธุรกิจสามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่แตกต่างและตอบโจทย์ผู้สูงวัยในราคาที่เอื้อมถึงได้ (ผู้สูงอายุไทยจำนวนมากยังมีข้อจำกัดด้านรายได้และกำลังซื้อ) ก็จะมีโอกาสสร้างรายได้ให้เติบโต

ขณะเดียวกัน สินค้าและบริการที่เจาะประชากรเด็กและวัยทำงาน ก็คงต้องพยายามสร้างมูลค่าเพิ่มด้านคุณภาพท่ามกลางการแข่งขันที่มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ไม่เพียงการวางตำแหน่งทางการตลาดผ่าน Fragmented Segmentation เท่านั้น ผู้ประกอบการอาจเล็งกลุ่มเป้าหมายที่กว้างกว่าตลาดในประเทศ โดยอาจพิจารณาการเจาะตลาดประเทศเพื่อนบ้านที่นิยมสินค้าไทยหรือตลาดระดับภูมิภาค เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น

3.    ต้นทุนธุรกิจมีแนวโน้มสูงขึ้นตามภาวะการขาดแคลนกำลังแรงงานและการปรับมาใช้เทคโนโลยี/เครื่องจักร แน่นอนว่า เมื่อประชากรน้อยลง ธุรกิจคงต้องแข่งกันเสนอค่าตอบแทนแรงงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแรงงานมีฝีมือ/ทักษะสูง/ทำได้หลายหน้าที่ ซึ่งต้องเร่งพัฒนาทักษะหรือผลิตภาพแรงงานให้เท่าทันความต้องการของตลาดที่ซับซ้อนขึ้น หรือถ้าจะใช้เทคโนโลยี/เครื่องจักร ก็ต้องมีเงินลงทุน สะท้อนว่า ต้นทุนธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแรงงานน่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ต้นทุนแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10% ของต้นทุนรวม

ตัวอย่างข้อเสนอการปรับตัวของธุรกิจ

ค้าปลีก

บริการสุขภาพ

  • นำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพในช่องทางที่เหมาะสม เช่น เข้ากับสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยลงของผู้สูงวัย คำนึงถึงความสะดวกในการใช้บริการ (รถเข็น ทางลาด ชั้นวางสินค้า ขนาดตัวอักษรบอกสรรพคุณ ฯลฯ)
  • ขยายตลาดไปนอกประเทศ เช่น ประเทศเพื่อนบ้านที่นิยมสินค้าไทย ประเทศอื่นๆ ที่ก็เป็นสังคมสูงอายุ
  • ปรับใช้ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ Vending Machine ที่ใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน
  • สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพการให้บริการต่อสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงวัยที่อาจมีข้อจำกัดด้านเวลา
  • เจาะลูกค้าต่างประเทศ เช่น Long-Term Resident Visa
  • เตรียมบุคลากรที่เชี่ยวชาญในหลากหลายภาษา ควบคู่กับการปรับประสิทธิภาพระบบการให้บริการ เช่น ลดระยะเวลาการรอคิว การใช้ Telemedicine, Virtual Healthcare ที่ออกแบบมาอย่างดี

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาคธุรกิจต่าง ๆ คงต้องเร่งปรับตัวและเตรียมการรองรับประเด็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทย ซึ่งจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับโจทย์อีกหลายด้านพร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และประเด็นความยั่งยืน (Sustainability) ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น การปรับตัวได้เร็วและมองได้ครบถ้วน ย่อมสร้างความได้เปรียบและเป็นโอกาสจะเพิ่มรายได้สุทธิ ซึ่งแต่ละธุรกิจ คงมีหน้าตักและ Solutions ที่แตกต่างกันออกไป 

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงภาคธุรกิจเท่านั้น การเป็นสังคมสูงอายุสุดยอดที่อาจมาเร็วขึ้นนี้ ก็นับว่าเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่ต้องเร่งจัดการ เพราะเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงต่อทิศทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การวางแผนงบประมาณทั้งด้านสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เบี้ยผู้สูงอายุ สวัสดิการแรงงาน และที่สำคัญสถานะความเพียงพอของกองทุนประกันสังคมในระยะข้างหน้า