posttoday

เงินบาทยังคงแกว่งตัว ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นเหนือ 1600 จุดได้

31 มีนาคม 2566

เงินบาทผันผวน โดยอ่อนค่าในช่วงแรกแล้วทยอยฟื้นตัวกลับมาแข็งค่า หลังคลายกังวลปัญหาวิกฤติแบงก์ในสหรัฐฯ ด้าน SET Index กลับมาปิดเหนือ 1,600 จุดได้อีกครั้ง หลังนักลงทุนห่วงภาคธนาคารต่างชาติน้อยลง

สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
เงินบาทแกว่งตัวผันผวนในกรอบ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงช่วงต้นสัปดาห์ตามทิศทางเงินหยวน หลังตัวเลขกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.-ก.พ. ของจีนออกมาต่ำกว่าที่คาด อย่างไรก็ดีเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นตามภาพรวมตลาดหุ้นและสกุลเงินเอเชีย

หลังจากที่ดีลเข้าซื้อกิจการธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ของธนาคารเฟิร์สต์ ซิติเซนส์ แบงก์ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคธนาคารของสหรัฐฯ ลงบางส่วน เงินบาทเพิ่มช่วงบวกต่อเนื่อง หลังผลการประชุมกนง. ช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ไปที่ 1.75% พร้อมส่งสัญญาณว่า การปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ (Policy Normalization) ยังคงต้องดำเนินต่อไป  

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังอ่อนค่าลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65 (final) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดีแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน ก่อนการรายงานข้อมูลดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในเดือนก.พ.

ในวันศุกร์ที่ 31 มี.ค. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.16 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ 34.15 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (24 มี.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 3-7 เม.ย. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,985 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยที่ 1,833 ล้านบาท (ซื้อสุทธิ 7,811 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้หมดอายุ 5,978 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (3-7 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.80-34.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ของไทย พัฒนาการปัญหาของแบงก์ในสหรัฐฯ และยุโรป ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชีย

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เดือนมี.ค. ข้อมูลการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม RBA และ RBNZ ตลอดจนดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือนมี.ค. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
หุ้นไทยกลับมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1,600 จุดได้อีกครั้ง ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นเกือบตลอดสัปดาห์ตามทิศทางหุ้นต่างประเทศ โดยมีแรงหนุนจากรายงานข่าวเกี่ยวกับการเข้าซื้อธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ของสหรัฐฯ และผลการประชุมกนง.ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด

อย่างไรก็ดี หุ้นไทยย่อตัวลงช่วงสั้นๆระหว่างสัปดาห์ โดยถูกกดดันจากตัวเลขส่งออกเดือน ก.พ. ของไทยที่ออกมาหดตัวต่อเนื่อง ก่อนจะขยับขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ อนึ่ง หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับขึ้นมากสุดในสัปดาห์นี้ โดยมีแรงซื้อหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งช่วยหนุน จากการเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวขึ้น     

ในวันศุกร์ (31 มี.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,609.17 จุด เพิ่มขึ้น 1.09% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 43,880.00 ล้านบาท ลดลง 16.16% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.66% มาปิดที่ระดับ 538.10 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (3-7 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,585 และ 1,575 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,615 และ 1,625 จุด ตามลำดับ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนมี.ค.

รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนมี.ค. ของญี่ปุ่น จีน และยูโรโซน รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.พ. ของยูโรโซน