ไทยออยล์ เปิดตัว ซีอีโอ “บัณฑิต ธรรมประจำจิต” ตั้งงบลงทุน 3 ปี พันล้านเหรียญ
ชูแนวคิด “TOP for The Great Future” หนุนสตาร์ทอัป นำนวัตกรรมสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนระบบงานสู่สากล จับมือพันธมิตรสร้างโอกาสขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตนเองเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่เมื่อเดือน ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งไทยออยล์ได้ตั้งเป้างบลงทุน 3 ปี (2566-2568) ที่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย 500 ล้านเหรียญสหรัฐ จะลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด ที่เหลือเป็นการลงทุนด้านอื่นๆ คือ การลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียม 270 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนจะมีการสร้างโรงกลั่นแห่งที่ 2 หรือไม่นั้น ต้องดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจก่อน เนื่องจากเป็นธุรกิจขาลงกำไรไม่ดี อีกทั้งยังไม่มันใจว่าเศรฐกิจครึ่งปีหลังจะดีหรือไม่ เศรษฐกิจจะถดถอยหรือย่อตัว ไม่อาจคาดเดาได้ แม้จีนได้เปิดประเทศ ก็ยังปัจจัยอื่นมีที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู่กับเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทต้องการลดความผันผวนรายได้ของธุรกิจน้ำมันปิโตรเลียมสำเร็จรูปซึ่งเป็นกำไรหลักของบริษัทด้วยการมองหาธุรกิจใหม่ New S-Curve เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ในปี 2573 จีงได้จัดสรรงบลงทุน 120 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่นอกเหนือจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจในการขยายตลาดต่างประเทศ คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย แล้วยังเน้นการลงทุนสนับสนุนสตาร์ทอัปใหม่ๆ เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงออกสู่ตลาด เช่น นวัตกรรมการให้ยาทางผิวหนังของสตาร์ทอัปไทย และ นวัตกรรมการผลิตเครื่องดื่มน้ำตาลต่ำ เป็นต้น
“การทำธุรกิจ New S-Curve ต้องทำให้ถูกเวลา เร็วเกินไป ต้นทุนสูง ช้าไปก็ตกขบวน เราจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ”
โดยการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve 1 ใน 3 ยุทธศาสตร์ 3V ขององค์กรที่ต้องสานต่อได้แก่ 1. Value Maximization ต่อยอดธุรกิจปิโตรเลียมสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง 2. Value Enhancement เสริมความแข็งแกร่งในประเทศ ขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค รองรับการเติบโตของธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ ในอนาคต รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น และ 3. Value Diversification ลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีมูลค่าสูง และ ธุรกิจ New S-Curve อื่นๆ สอดคล้องต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโลก
นอกจากนี้ยังตนเองยังทำงานภายใต้วิสัยทัศน์ TOP for The Great Futureโดยคำว่า “TOP” มาจาก T - Transformation ทรานสฟอร์มธุรกิจในทุกมิติ ให้มั่นใจว่า องค์กรพร้อมขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายใหม่ สร้างธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนรวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ให้องค์กรขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
O - Operational to Business Excellence ยกระดับการทำงานปัจจุบันจาก Operational Excellence ไปสู่ Business Excellence สร้างองค์กรที่ขับเคลื่อนโดยระบบงานระดับ World Class ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและทีมงานมืออาชีพ สู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ
และ P - Partnership & Platform สร้างการเติบโตด้วยแนวทางความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเพิ่มประสิทธิภาพในการสนับสนุนการขยายธุรกิจในอนาคต
นายบัณฑิต กล่าวว่า สำหรับปีนี้บริษัทจะลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด หรือ Clean Fuel Project (CFP) โดยตั้งเป้าจะให้หน่วยผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 แล้วเสร็จก่อนภายในไตรมาส 1 ปี2567 จากเป้าหมายเดิมในปี 2568 เพื่อผลิตน้ำมันเพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.7 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยจะเป็นการกลั่นน้ำมันดีเซล และน้ำมันเครื่องบิน (JeT) เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ค่าการกลั่น(GRM) จากปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 4-5 ดอลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากการกลั่นน้ำมันที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น
สอดรับกับแนวโน้มธุรกิจน้ำมันในปี 2566 จะเติบโตได้ดี จากความต้องการใช้น้ำมันทุกประเภทปรับสูงขึ้น ตามทิศทางความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่ปรับสูงขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว โดยคาดว่า น้ำมันสำเร็จรูปในปีนี้ จะเติบโต 4-5%และน้ำมันอากาศยาน เติบโตขึ้น 50% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา
จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ไทยออยล์ ปรับเป้าหมาย ธุรกิจของกลุ่มในปี 2573 โดยสัดส่วนกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ 40% ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่ต่อยอดจากปิโตรเคมี 30% ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและธุรกิจใหม่ๆ 25% และธุรกิจไฟฟ้า 5%
นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่อยากฝากถึงรัฐบาลใหม่ คือ นโยบายด้านพลังงานต้องต่อเนื่อง เช่นในอดีตเคยมีนโยบายให้จำหน่ายน้ำมันกลุ่มเอทานอลและไบโอดีเซลหลายชนิด ทั้งแก๊สโซฮอล์ E85 ,E20,E10 รวมถึงน้ำมันไบโอดีเซลทั้ง B7 และ B20 แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็มีการกำหนดนโยบายใหม่ ไม่เน้นน้ำมันโซฮอล์E85 เหลือเพียง แก๊สโซฮอล์ E10 และดีเซลเหลือเพียง B7-B10 เป็นต้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลงทุนของอุตสาหกรรมน้ำมัน
นอกจากนี้ ปัจจุบันรัฐบาลมีแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 ซึ่งขณะนี้ อัตราการเติบโตอีวีสูง นโยบายต้องต่อเนื่องเพื่อให้ประชากรเข้าถึงราคาที่เหมาะสม ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานรัฐบาลต้องคุยกับผู้ประกอบการให้มากขึ้น เพื่อเดินไปด้วยกัน ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะไหนมา สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องของนโยบาย


