posttoday

ปลื้ม! ยอดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ พุ่งขึ้น 37.38%

12 ธันวาคม 2565

เงินบาทอ่อนค่า-เข้าสู่ช่วงเทศกาลท้ายปี ดันยอดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย 10 เดือน ปี 2565 เพิ่มขึ้นถึง 37.38% มูลค่ากว่า 6.7 พันล้านเหรียญฯ กระทรวงพาณิชย์ชี้แนวโน้มยังไปได้อีก แนะผู้ประกอบการเจาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย และตะวันออกกลาง

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ในช่วง 10 เดือนของปี 2565 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 6,778.55 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 37.38% และหากรวมทองคำ มีมูลค่า 13,620.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 66.50% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักของโลก และเริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลจับจ่ายใช้สอยปลายปี ทั้งคริสต์มาสและปีใหม่ เข้ามากระตุ้นการบริโภค ทำให้มีความต้องการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้น

สำหรับสินค้าที่มีการส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น เครื่องประดับเงิน เพิ่มขึ้น 5.72% เครื่องประดับทอง 53.03% เครื่องประดับแพลทินัม 10.35% เพชรก้อน 25.85% เพชรเจียระไน 55.88% พลอยก้อน 63.04% พลอยเนื้อแข็งเจียระไน 73.76% พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน 104.46% เครื่องประดับเทียม 25.19% และเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำจากโลหะมีค่า 15.28%

ทั้งนี้ เฉพาะทองคำ ส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 50.23% ของยอดส่งออกรวม 10 เดือน มีมูลค่า 6,842.31 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 110.74% ซึ่งเป็นการส่งออกเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความต้องการของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ แม้ว่าราคาทองคำจะปรับตัวลดลง จากการที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่เชื่อว่าแนวโน้มราคาจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากการที่เฟดชะลอการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลง

ส่วนตลาดส่งออกสำคัญที่ขยายตัวได้ดี เช่น สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 26.90% อินเดีย 115.74% ฮ่องกง 10.12% เยอรมนี 10.26% สิงคโปร์ 178.10% สหราชอาณาจักร 41.87% สวิตเซอร์แลนด์ 87.15% เบลเยี่ยม 36.18% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  39.24% ญี่ปุ่น  10.90% และอื่น ๆ  26.95%

สำหรับแนวโน้มการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ คาดว่าจะยังขยายตัวต่อไปได้อีก แม้ว่าเริ่มมีสัญญาณการหดตัวของคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้า แต่การเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี ทำให้จับจ่ายใช้สอยจะเป็นปัจจัยหนุนทำให้มีการบริโภคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ จะต้องวางแผนขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลาง ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ควบคู่ไปกับการรักษาตลาดเดิม และต้องเน้นการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รักษาคุณภาพมาตรฐาน ให้ตรงตามที่ผู้บริโภคต้องการ หรือทำสินค้าเกรดพรีเมียม