posttoday

‘เจียรวนนท์’ ที่มั่งคั่งจากธุรกิจอาหาร ลุ้น CP เปลี่ยนเกมหลังจับมือ Telenor

02 พฤศจิกายน 2565

ธุรกิจอาหารของ ‘เจียรวนนท์' แผ่อิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยและคือตัวแปรแห่งความมั่งคั่ง แต่ก้าวต่อไปหลัง 100 ปีของเครือ CP ที่มุ่งหวังเป็น Tech Company ยังต้องรอลุ้นหลังจับมือ Telenor

เครือเจริญโภคภัณฑ์หรือ CP ที่เพิ่งครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งกิจการไปเมื่อไม่นานนี้ บริหารงานโดยตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองไทยอย่าง ‘เจียรวนนท์’ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจากการจัดอันดับของ Forbes ที่ 2.65 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2565

 

CP เป็นกลุ่มบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่ที่มีกิจการครอบคลุม 8 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสื่อและโทรคมนาคม ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและดิจิทัล ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจยานยนตร์และอุตสาหกรรม ธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ ตลอดจนธุรกิจการเงินและการธนาคาร  

 

โดยปัจจุบัน ธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้เป็นดังประมุขของตระกูลอยู่ในสถานะประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ให้ลูกชายคนโตคือ สุภกิต เจียรวนนท์ เป็นประธานกรรมการ และ ศุภชัย เจียรวนนท์ ลูกชายคนเล็กเป็นประธานคณะผู้บริหาร 

 

ทิศทางความมั่งคั่งของ ‘เจียรวนนท์’

‘เจียรวนนท์’ ที่มั่งคั่งจากธุรกิจอาหาร ลุ้น CP เปลี่ยนเกมหลังจับมือ Telenor

 

แม้เครือ CP จะเติบโตและแผ่ขยายกิจการไปถึง 8 สายธุรกิจตามที่ว่าไว้ข้างต้น แต่จากมุมมองการจัดอันดับของ Forbes ได้ชี้ชัดลงไปว่าธุรกิจอาหารทั้งสำหรับคนและสัตว์ คือแหล่งความม้่งคั่งที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเจียรวนนท์ เช่นเดียวกับเป็นธุรกิจที่แผ่อิทธิพลอย่างมากในเมืองไทย ซึ่งขับเคลื่อนโดย บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF 

นั่นเพราะไม่ว่าคุณจะเข้าไปตลาดสดแถวบ้าน หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ไหน ๆ ต้องได้คว้าสินค้าภายใต้การผลิตของ CPF ติดมืออย่างน้อย 1 อย่าง  จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมตลอดช่วงอย่างน้อย 5 ปีที่ผ่านมารายได้กว่า 1 ใน 3 ของบริษัทมาจากตลาดในเมืองไทย  และ CPF ก็ยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ที่จะเดินหน้าสู่การเป็นครัวของโลกอย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบัน CPF มีสุภกิต ในฐานะทายาทรุ่น 4 เป็นประธานกรรมการ ที่ได้รับถ่ายโอนอำนาจการบริหารและมีบทบาทมากขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 2562 ซึ่งก่อนนี้ตัวเขาจะได้รับมอบหมายให้ดูธุรกิจของเครือ CP ในต่างประเทศเป็นหลัก กระทั่งได้รับความไว้วางใจมากขึ้น จนเริ่มรับไม้ในตำแหน่งต่าง ๆ จากเจ้าสัวธนินท์ดังเช่นวันนี้

สำหรับในปีนี้ CPF คาดหมายว่าจะทำรายได้เติบโตกว่า 10% จากปี 2564 ที่มีรายได้ราว 5.18 แสนล้านบาท และล่าสุดมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ที่ราว 2.195 แสนล้านบาท ณ วันที่ 1 เดือนพฤศจิกายน 2565 

 

‘เจียรวนนท์’ ที่มั่งคั่งจากธุรกิจอาหาร ลุ้น CP เปลี่ยนเกมหลังจับมือ Telenor

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานนี้ตระกูลเจียรวนนท์ได้เกิดการสูญเสียครั้งสำคัญด้วยการจากไปของ ประธานกิตติมศักดิ์มนตรี เจียรวนนท์ ผู้เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของเจี่ย เอ็กชอ ผู้ก่อตั้งเจียไต๋ ต้นกำเนิดธุรกิจของเครือ CP โดยเขาเป็นน้องชายของจรัญ เจียรวนนท์ และเป็นพี่ชายของสุเมธ เจียรวนนท์ และธนินท์ อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในฐานะผู้บุกเบิกเครือซีพีจนเติบโตสร้างธุรกิจตามปรัชญา “3 ประโยชน์”

 

บทบาทสำคัญของมนตรีคือร่วมมือกับจรัญ ขยายกิจการจากเจียไต๋ที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผัก มาสู่กิจการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ภายใต้ชื่อร้านเจริญโภคภัณฑ์ นับเป็นการเริ่มต้นธุรกิจรุ่นสองของครอบครัว ซึ่งต่อมาเติบโตเป็นเครือ CP ในฐานะบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายจนปัจจุบัน 

 

ไม่เพียงเครือ CP จะมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสาธารณรัฐประชาชนจีนจากความร่วมมือทั้งในแง่ธุรกิจและอื่น ๆ อย่างมากมาย แต่ก็มีการเชื่อมโยงกับประเทศอื่นตามมาอีก เช่นล่าสุดที่สุภกิต ได้รับมอบตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์รัสเซีย ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน จากที่ก่อนนี้เคยดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธรัฐรัสเซีย ประจำจังหวัดภูเก็ตมาแล้วช่วงหนึ่ง
เล็งจุดเปลี่ยน CP จับมือ Telenor

 

อีกหนึ่งก้าวสำคัญหลังครบรอบ 100 ปีที่ต้องจับตามมองคือ ความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นระหว่าง CP กับกับกลุ่ม Telenor ทั้งนี้ ศุภชัยเคยให้สัมภาษณ์กับทาง CNN ว่ากำลังอยู่ในกระบวนการของการสร้างความร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน (Equal Partnership) เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรและเดินหน้าสู่การเป็น Tech Company  

 

อย่างไรก็ตาม ดีลควบรวมกิจการระหว่าง TRUE (บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น) และ DTAC (บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น) ที่ตกลงกันเมื่อปลายปี 2564 นั้น คาดการณ์ว่าจะทำให้บริษัทใหม่ถือครองตลาดผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเกือบ 50% ของไทย  ก็ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนแลกเปลี่ยนหุ้นระหว่างสองบริษัทที่ค่อนข้างล่าช้า 

 

แม้ไม่นานนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เสียงข้างมาก เพิ่งโหวตอนุญาตให้มีการควบรวมกิจการดังกล่าวได้ แต่ก็ยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับผลกระทบต่อสภาพการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมและภาพรวมการลงทุนจากต่างประเทศอีก รวมถึงพ่วงด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ต้องปฏิบัติตามอีกมากมาย 

 

หลังจากนี้ Tech Company ในร่างใหม่จะสร้างแรงเหวี่ยงต่อตลาดในเมืองไทยอย่างไร ก็ต้องรอลุ้นกัน
 

ข่าวล่าสุด

เปิดโผกลุ่มหุ้นได้-เสียประโยชน์ เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4.5 ปี