‘น้ำเมา’ แหล่งมั่งคั่ง 'เจริญ' ส่งไทยเบฟฯ โตไม่แผ่ว
ความมั่งคั่งที่สะสมจากธุรกิจน้ำเมาทั้งสุราและเบียร์กับอีกสารพัดกิจการ เป็นฐานสำคัญที่ทำให้เจ้าสัวเจริญไม่หลุดจากตำแหน่งคนรวยอันดับสองของไทยจากการจัดอันดับของ Forbes ล่าสุด ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 1.12 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2565
ต่อให้ยอดขายเบียร์ช้างจากค่าย บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ ของ เจริญ สิริวัฒนภักดี ที่ตัวเขานั่งเป็นประธานกรรมการอยู่นั้น ยังเป็นรองเบียร์ลีโอของค่ายสิงห์อยู่ทั้งในตลาดไทยและ ASEAN (จากการรายงานของ GlobalData)
แต่เรื่องความมั่งคั่งที่สะสมมาจากธุรกิจน้ำเมาทั้งสุราและเบียร์ ที่ภายหลังได้ต่อยอดจากฝั่งอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การดูแลของ บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ควบคู่กับอีกสารพัดกิจการทั้งในไทยและต่างประเทศ เป็นฐานสำคัญที่ส่งให้อดีตลูกชายของครอบครัวหาบเร่ข้างทางในกรุงเทพฯ เมื่อหลายปีก่อนไม่หลุดจากตำแหน่งคนรวยอันดับสองของไทยจากการจัดอันดับของ Forbes ล่าสุด ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 1.12 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565
การดำเนินธุรกิจของครอบครัวสิริวัฒนภักดีหลัก ๆ จะอยู่ภายใต้กลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น (Thai Charoen Corporation Group) หรือ TCC Group ที่เดิมเริ่มจากกิจการขนาดเล็กเมื่อปี 2503 มีการเติบโตและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนมาเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งครอบคลุมธุรกิจสำคัญ 5 สาย คือ ธุรกิจเครื่องดื่ม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอุตสาหกรรมการค้า ธุรกิจประกันและการเงิน ตลอดจนธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร
แต่กว่าจะเป็น TCC Group ในวันนี้ ลูกชายของครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเลจากเมืองซัวเถา อำเภอเท่งไฮ้ อย่างเจ้าสัวเจริญได้เริ่มสร้างตัวจากธุรกิจการค้าตั้งแต่ยังเด็ก กระทั่งเมื่อสมรสกับคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ทั้งสองก็ร่วมมือกันเสริมสร้างกิจการของครอบครัวให้เติบโต
จากการขายสินค้าให้โรงงานสุรา มาสู่การเป็นเจ้าของโรงงานสุรา จนได้รับสัมปทานโรงงานสุราทั้งหมดเมื่อเข้าสู่ยุคการค้าสุราเสรี โดยได้ประมูลโรงกลั่นสุราในนามกลุ่มแสงโสม และขยายกิจการไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าเป็นเบียร์ แอลกอฮอล์ น้ำตาล บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ
ตามมาด้วยเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น การลงทุนในกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียล กลุ่มนอร์ธปาร์ค กลุ่มพันธ์ทิพย์ กลุ่มเกษตร รวมทั้งได้เข้าลงทุนในกิจการของกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ เช่น กลุ่มเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ และกลุ่มอาคเนย์ประกันภัย ประกันชีวิต เป็นต้น
ทิศทางความมั่งคั่งของ ‘สิริวัฒนภักดี’
ทั้งนี้ จากตัวเลขผลประกอบการล่าสุดที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ บมจ. ไทยเบฟฯ พบว่า รายได้จากธุรกิจแอลกอฮอล์ทั้งเหล้าและเบียร์อยู่ที่เกือบ 90% ของรายได้รวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (ณ 31 มีนาคม 2565)
แล้วยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง (ทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศ) จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 ที่คลี่คลายดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ฐานรายได้หลักของบริษัทกว่า 75% มาจากตลาดในเมืองไทย
แม้ธุรกิจน้ำเมาทั้งสุราและเบียร์จะครองส่วนแบ่งรายได้หลักของบริษัท แต่ บมจ. ไทยเบฟฯ ก็ยังมีธุรกิจอื่น ๆ คือเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ และ อาหาร ซึ่งเป็นแบรนด์ที่คนไทยต่างคุ้นเคยและบริโภคกันอยู่ เช่น เครื่องดื่มเอส โออิชิ เคเอฟซี สตาร์บัคส์ เป็นต้น
สำหรับ Market Cap. ของบมจ. ไทยเบฟฯ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX-ST) ล่าสุดอยู่ที่ราว 1.44 หมื่นล้านเหรียญสิงคโปร์ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565
ผลัดใบส่งให้ไทยเบฟฯ แกร่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่น่าสนใจและต้องจับตามอง คือหลังจาก บมจ. ไทยเบฟฯ ดำเนินการเรื่องซื้อหุ้น F&N ที่ประมาณ 28.6% เสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ที่จะช่วยให้ขยับขึ้นเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มระดับภูมิภาค
หลังจากนี้บมจ. ไทยเบฟฯ จะสานต่อเป้าหมาย PASSION 2025 เพื่อให้ “แข็งแกร่งกว่าเดิม” ด้วยการขับเคลื่อนแผนการดําเนินงานระยะ 5 ปี ที่จะมีการทรานส์ฟอร์เมชั่นองค์กรภายใต้ 3 แนวทางหลัก คือ
1) สร้างสรรค์ความสามารถและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ 2) เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักเพื่อเป็นผู้นำตลาด 3) นำศักยภาพของบริษัทมาผลักดันให้เกิดมูลค่าสูงสุด
โดยที่เกิดขึ้นล่าสุดคือการปรับทัพครั้งใหญ่เข้าสูยุคผลัดใบ ด้วยการตั้งแต่ผู้บริหารรุ่นใหม่หลาย ๆ คนขึ้นมาทดแทนรุ่นเก่าจากยุคเจ้าสัวเจริญ เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา จากการบอกเล่าของ ฐาปน สิริวัฒนภักดี ผู้เป็นลูกคนที่ 3 ของบ้านแต่เป็นบุตรชายคนโต ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ไทยเบฟ
พร้อมมีแผนลงทุนประมาณ 5-8 พันล้านบาท โดยเน้นด้านการขนส่งและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในเครือ รวมไปถึงการมองหาฐานการผลิตแห่งใหม่ของบริษัทในประเทศเพื่อนบ้านย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่น่าจะหาข้อสรุปได้ภายในปีหน้า