เสี่ยเจียง ฮึดทำหนังสู่ตลาดโลก
ปีที่ผ่านมาต้องถือเป็นปีที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทย เพราะแม้จะประสบกับสถานการณ์เสื้อแดงปิดล้อม แต่ยังทำรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท
ปีที่ผ่านมาต้องถือเป็นปีที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทย เพราะแม้จะประสบกับสถานการณ์เสื้อแดงปิดล้อม แต่ยังทำรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท
จำนวนภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในปีที่ผ่านมามีประมาณ 55 เรื่อง ทำรายได้รวมคิดเป็นสัดส่วน 32% ต่ำกว่าปีก่อนหน้านี้ที่มีสัดส่วน 36% นั่นเป็นเพราะภาพยนตร์ไทยทำรายได้เฉลี่ยลดลง ที่ทำรายได้เกิน 40 ล้านบาท มีเพียง 7 เรื่อง จากปีที่แล้ว 11 เรื่อง
แต่ปีนี้หลายฝ่ายตั้งความหวังไว้ว่าจะเป็นปีทองของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทย โดยเฉพาะในสายตาของ “สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” หรือเสี่ยเจียง ประธานกรรมการ บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล พี่ใหญ่ของอุตสาห กรรมภาพยนตร์ไทย
“ปีหน้าจะมีหนังใหญ่มากทั้งหนังไทยและหนังฮอลลีวูด คาดว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทยจะขยายตัวไม่น้อยกว่า 30% จากปีนี้” เสี่ยเจียง กล่าว
สำหรับภาพยนตร์ไทยจะมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ คือตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3-4 ที่เลื่อนฉายจากปีนี้ คาดว่าจะเข้าฉายในเดือน เม.ย.-พ.ค. โดยสห มงคลฟิล์มฯ จะมีภาพยนตร์เข้าฉาย 15 เรื่องในปีนี้ โดยใช้งบลงทุน 500-600 ล้านบาท เป็นอย่างน้อย
ทั้งนี้ สหมงคลฟิล์มฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ ซึ่งจะมี 4-5 เรื่อง ใช้งบเรื่องละ 100-200 ล้านบาท เพราะภาพยนตร์ใหญ่เหล่านี้ขายต่างประเทศได้ อย่างองค์บากหรือ ช็อกโกแลต มีภาคต่อออกมาอีกในปีนี้
เสี่ยเจียง กล่าวว่า ตอนนี้ตลาดภาพยนตร์ในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป มีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ ภาพยนตร์วัยรุ่น ผี และตลก ซึ่ง สหมงคลฟิล์มฯ เริ่มสร้างภาพยนตร์ประเภทนี้มากขึ้น เพราะตลาดตอบรับดี หลายเรื่องทำรายได้เกินคาด แต่ภาพยนตร์ใหญ่และบู๊ยังทำต่อ เพราะขายต่างประเทศได้
“คนสร้างต้องกล้าที่จะทำหนังออกสู่ตลาดโลก ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา หนังไทยได้รับการตอบรับที่ดีเป็นที่รู้จักแล้ว เพราะฉะนั้นต้องทำต่อไป เพื่อทำให้หนังไทยมีชื่อเสียงต่อไป” เสี่ยเจียง กล่าว
ปีหน้าจะมีทั้งโปรเจกต์ของ จา–พนม ยีรัมย์ ซึ่งจะกลับมาจับมือกับทีมผู้สร้างต้มยำกุ้ง ทั้งปรัชญา ปิ่นแก้ว และพันนา ฤทธิไกร โดยจาจะกลับมาในฐานะนักแสดง รวมทั้งมีโปรเจกต์ที่จะทำกับผู้สร้างภาพยนตร์ในเอเชียอีก 1 เรื่อง
รวมทั้งภาพยนตร์เรื่องช็อกโกแลตภาค 2 และเดอะ คิก ภาพยนตร์บู๊ร่วมทุนสร้างกับเกาหลี ที่จะสร้างในระบบ 3 มิติ
ขณะปีที่ผ่านมาค่ายสหมงคลฟิล์มฯ ประสบความสำเร็จกับภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างไม่มากนัก อย่างสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก ที่ทำรายได้ถึง 80 ล้านบาท สาระแนสิบล้อ ทำรายได้ 70 ล้านบาท ตุ๊กกี้เจ้าหญิงขายกบ 67 ล้านบาท โป๊ะแตก 50 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับองค์บากที่ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท แต่ทำรายได้เพียง 40 ล้านบาท หรือนาคปรกที่ทำรายได้เพียง 35 ล้านบาท ต้องถือว่าผิดหวัง แต่ยังมีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ในต่างประเทศที่ยังไม่ได้รวบรวมเข้ามา
เสี่ยเจียง กล่าวว่า ปีหน้าดูเหมือนว่าจะไม่มีปัจจัยใดๆ ต้องเป็นกังวล เพราะที่ผ่านมาอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะเติบโตมาได้ อย่างช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่ผ่านมา แม้เหตุการณ์จะรุนแรงแต่ภาพยนตร์ไม่กระทบ
สำหรับปีนี้เชื่อว่าสถานการณ์การเมืองจะดีกว่าปีที่ผ่านมา และถ้าเกิดปัญหาก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไป ไม่ต้องเตรียมตัว ซึ่งที่ผ่านมาก็ใช้วิธีนี้และผ่านมาได้ ส่วนเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง เชื่อว่าจะต้องดีกว่าปีนี้แน่นอน
เสี่ยเจียง กล่าวว่า ปีหน้าในแง่เทคโนโลยีจะมีผลต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทย โดยเฉพาะระบบดิจิตอล 3 มิติ ซึ่งภาพยนตร์หลายเรื่องในปีนี้จะสร้างในระบบ 3 มิติ และคาดว่าใน 4-5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นระบบ 3 มิติทั้งหมด และช่วยผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต
ในส่วนสหมงคลฟิล์มเองปีที่ผ่านมาขยายตัวไม่ต่ำกว่า 30% และมีส่วนแบ่ง 30% จากมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทยมูลค่า 3,000 ล้านบาท และเชื่อว่าปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ นอกจากเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ (หน้าหนัง) เป็นที่น่าสนใจแล้ว การทำการตลาดถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับธุรกิจนี้ไปแล้ว โดยปีนี้จะเพิ่มงบตลาดอีก 40% เพื่อทำให้ภาพยนตร์เป็นที่สนใจมากขึ้น
“สิ่งที่ห่วงยังเป็นเรื่องปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งส่งผลมากต่อผู้สร้างภาพยนตร์ไทย อยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจัง เพราะจะช่วยผู้สร้างภาพยนตร์ไทยได้มาก ทำให้มีรายได้มากขึ้น” เสี่ยเจียง กล่าวทิ้งท้าย


