‘เอเชีย’ ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของโลก
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อโควิด-19 ได้เข้ามากระตุ้นให้เราต้องปรับตัวกับการดำรงชีวิตแบบ New Normal ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของ การเรียน หรือแม้แต่การเข้าพบแพทย์ ล้วนผ่านออนไลน์ทั้งสิ้น
โดย กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ
ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย
สำหรับภูมิภาคที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยีในศตวรรษนี้คงหนีไม่พ้น “เอเชีย” ที่พร้อมเขย่าบัลลังก์เทคโลก ด้วยความโดดเด่นของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ไม่เป็นสองรองใคร มีดีทั้ง “สมอง” และ “สองมือ” เพราะในเอเชียมีคนที่เก่งเรื่องเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่การคิดค้นจนถึงกระบวนการผลิต
อีกทั้งยังเป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทไอทีชื่อดังของโลกอีกหลายแห่ง รวมถึงสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองก็ได้รับความนิยมในระดับสากลเช่นกัน จากการจัด 10 อันดับ Market Cap หุ้นเทคชั้นนำของโลก มีบริษัทเอเชียติดโผไปแล้วถึง 4 แห่ง ได้แก่ Tencent Holdings (จีน) Alibaba Group (จีน) Samsung Electronics (เกาหลีใต้) และ TSMC (ไต้หวัน) นอกจากนี้ หุ้น IPO ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีมากขึ้นในเอเชีย เช่น SEA (IPO 2017) บริษัทสิงคโปร์เจ้าของแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ Shopee, Meituan Dianping (IPO 2018) เจ้าของ Application Food Delivery ของจีน ด้าน Flipkart ซึ่งเป็น E-commerce อันดับ 1 ของอินเดียก็มีแพลนที่จะเข้า IPO เช่นกัน
ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เอเชียกลายเป็นแหล่งนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของโลก จำนวนสิทธิบัตรในเอเชีย (จีนและญี่ปุ่น) แซงหน้าสหรัฐฯ ถึง 3 เท่า คิดเป็นสัดส่วน 40-50% ของจำนวนทั้งหมดในโลก นอกจากนี้ จีนมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการจะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก โดยในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 (ปี 2021-2025) ตั้งเป้าหมายสัดส่วนการใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ระดับ 7% ของ GDP เพื่อสนับสนุนการสร้างเทคโนโลยี อาทิ AI, 5G, Renewable Energy เป็นต้น หากผู้อ่านลองหันไปใกล้ๆตัว จะเห็นว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ ซึ่งชิ้นส่วนของอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของเอเชียทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น Largan บริษัทไต้หวันที่ผลิตเลนส์กล้องให้ iPhone และ TSMC บริษัทไต้หวันที่ผลิตชิปให้ iPhone โดยหากเทียบประสิทธิภาพกับ Intel แล้ว นับว่า TSMC ยังนำหน้าอยู่มากทีเดียว นอกจากนี้ ผู้ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดของเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ก็คือ 2 เจ้าใหญ่จากเอเชีย TSMC และ Samsung ที่รวมกันเกือบ 80% เลยทีเดียว นอกจากนี้ เอเชียยังเป็นผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมหาศาล และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยชนชั้นกลางในเอเชียที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องใช้เทคโนโลยีมาตอบสนองความต้องการในด้านต่างๆ ธุรกิจต่างๆจึงต้องปรับตัวให้ทันต่อความต้องการบริโภคทีเปลี่ยนไป เช่น ธุรกิจ E-commerce และ Gaming ที่กำลังขยายตัวตามการเพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้
ปัจจุบันเอเชียแปซิฟิคครองตลาดเกมอันดับหนึ่งของโลก โดยกินสัดส่วนประมาณ 50% ทั้งในแง่รายได้และจำนวนผู้เล่น โดยเฉพาะเกมมือถือที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เข้ามาแทนที่ PC และ Console โดยยอดขายของ Tencent จากจีนแซงหน้า EA และ Activision Blizzard จากสหรัฐฯ มากกว่า 4 เท่าในปี 2562 นอกจากนี้ ตลาด E-Commerce ในเอเชียยังเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น โดยหากดูมูลค่าตลาด (Market Cap) ในปัจจุบันของ SEA ยังอยู่เที่เพียงของ Amazon เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จึงยังมีโอกาสเติบโตได้ดีอีกมากในอนาคต
สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เชื่อในศักยภาพของความเป็นผู้คิด ผู้ผลิต และผู้บริโภคสู่การเป็นผู้นำโลกในอนาคตของภูมิภาคเอเชีย สามารถลงทุนในกองทุน K-ATECH ซึ่งจะเสนอขายครั้งแรกในวันที่ 1-7 เม.ย. 2564 โดยลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Pacific Technology - Class C (acc) - USD เน้นลงทุนในหุ้นเทคเอเชียแปซิฟิก ใน 5 Themes หลักที่ได้ประโยชน์ในอนาคต (ธุรกิจอีคอมเมิร์ชและสื่อออนไลน์ ธุรกิจเกมส์ออนไลน์ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนสมาร์ทโฟน และธุรกิจหุ่นยนต์อุตสาหกรรม) และมีการปรับน้ำหนักให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ KAsset Contact Center 02-673-3888
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุน K-ATECH ได้ที่ https://bit.ly/3fATr5C
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน


