คืบหน้าโครงการฯสัญญาร่วมทุนสนามบินอู่ตะเภา เตรียมเข้า ครม.เม.ย.นี้
บอร์ดอีอีซีรับทราบความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาสัญญาร่วมลงทุนเข้า ครม. ได้เดือนเม.ย.นี้ พร้อมไฟเขียวแผนบริหารจัดการน้ำรับมือแล้งระยะสั้นในอีอีซีย้ำน้ำเพียงพอ
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ดอีอีซีได้รับทราบความก้าวหน้าโครงการลงทุนสำคัญ คือ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนเสนอผลการคัดเลือก ให้กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส เป็นผู้ได้รับการคัดเลือก เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2563 โดยโครงการนี้คาดว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปภายใน มี.ค.2563 และสามารถเสนอร่างสัญญาที่สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาให้ สำนักงานอีอีซี และ ครม. พิจารณา เม.ย. 2563 นี้
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ขณะนี้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 จะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติ เนื่องจากการลงทุนเป็นการตัดสินใจระยะยาว และน่าจะเป็นผลบวกยิ่งขึ้นเนื่องจากระบบสาธารณสุขของไทยสะท้อนให้เห็นว่ามีการดูแลได้ดีอย่างมาก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับกระทรวงการต่างประเทศประสานเอกอัครราชทูตในประเทศต่างๆ ได้ให้ข้อมูลกับนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในอีอีซีมากขึ้น เพราะจากผู้แทนของหลายประเทศเข้ามาพบทั้งนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีพบว่ายังมีข้อมูลเกี่ยบกับอีอีซีไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ สำนักงานอีอีซี ได้รับงบประมาณ 425 ล้านบาท ส่วนหนึ่งไว้สำหรับเดินทางไปดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แต่เนื่องจากปีนี้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัส จึงต้องงดการเดินทางไปก่อน งบประมาณในส่วนดังกล่าวจะปรับไปสมทบกับกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ในการจัดอบรมพัฒนาฝีมือแรงงานในอีอีซีแทน
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดอีอีซี ได้รับทราบ แผนบริหารจัดการน้ำในอีอีซี โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาของอีอีซี รองรับการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว และแผนระยะสั้น เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2563
นายสมเกียรติ ประจำวงศ์ เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า แผนบริการจัดการน้ำในอีอีซี จัดทำโดยสทนช. สำนักงานอีอีซี กรมชลประทาน คณะกรรมการลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) บริษัท East Water และภาคเอกชน ซึ่งในระยะสั้นมีมาตรการสำคัญเพื่อรองรับวิกฤตภัยแล้ง ปี 2563 ประกอบด้วย 3 มาตรการ ซึ่งจากการประเมินจะมีน้ำเพียงพอสำหรับภาคอุตสาหกรรมและสำหรับภาคอื่นๆในอีอีซี ได้แก่
1.โครงการสูบน้ำกลับคลองสะพาน มายังอ่างเก็บน้ำประแสร์ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำ 1.5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดย East Water ประสานกับกรมชลประทาน เร่งดำเนินการ
2.โครงการผันน้ำคลองหลวง มายังอ่างเก็บน้ำบางพระ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยกรมชลประทาน เร่งดำเนินการ และ 3.โครงการผันน้ำจากลุ่มน้ำวังโตนด จ.จันทบุรีมายังอ่างเก็บน้ำประแสร์ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำ 10–35 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งกรมชลประทานและคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำวังโตนดได้ลงนามในข้อตกลง เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2563 สามารถเริ่มผันน้ำ 4.3 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในระยะสั้นยังมีมาตรการเสริม เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีน้ำเพียงพอโดยเฉพาะ ได้แก่ การขอให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) จัดทำแผนลดใช้น้ำ 10% ช่วงเดือนม.ค. – มิ.ย. 2563
โครงการเจรจาซื้อน้ำจากบ่อดินเอกชน เข้าระบบจังหวัดชลบุรี และฉะเชิงเทรา คาดว่าจะมีปริมาณน้ำ 16 ล้านลูกบาศก์เมตร โครงการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ มายังหนองปลาไหล สามารถผันน้ำ 1 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน และโครงการวางท่อคลองน้ำแดง เพิ่มการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ มาอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำ 1.3 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ส่วนการบริหารจัดการน้ำระยะยาวปี 2563 – 2580 จะประกอบด้วยโครงการ 3 ส่วน 1.พัฒนาและจัดการน้ำต้นทุน 53 โครงการ วงเงินลงทุน 52,797 ล้านบาทประกอบด้วยแผนการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน 38 โครงการ วงเงิน 50,691.10 ล้านบาท เช่น สร้างอ่างเก็บน้ำ คลองวังโตนด อ่างเก็บน้ำ คลองโพล้ และพัฒนาระบบสูบกลับคลองสะพาน - อ่างเก็บน้ำประแสร์ และการบริหารจัดการด้านความต้องการใช้น้ำ (Demand Side Management) 12 โครงการ วงเงิน 1,927.15 ล้านบาท เช่น แผนการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสีย การประปาส่วนภูมิภาค สาขาต่าง ๆ ปรับระบบการเพาะปลูก เป็นต้น
1.3 มาตรการอื่นๆ การศึกษาจัดทำฐานข้อมูลพัฒนาน้ำบาดาล 3 โครงการ วงเงิน 178.99 ล้านบาท 2.การผลิตน้ำจืดจากทะเล (Desalination) เตรียมพิจารณาการลงทุนในอนาคตกับภาคเอกชน
3.โครงการจัดหาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) ในพื้นที่ อีอีซี ซึ่งที่ประชุมบอร์ดอีอีซีเห็นชอบหลักการโครงการ มอบหมายให้สำนักงานอีอีซีเสนอกระทรวงพลังงาน นำเข้าบรรจุในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ต่อไป
โดยโครงการนี้มีเป้าหมายว่าในพื้นที่อีอีซี จะมีสัดส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล ต่อพลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าเป็น 70 : 30 มีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป้าหมายระยะแรกไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ โดยผสมผสานร่วมกับการทำ การเกษตรในพื้นที่ และให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ออกแบบระบบ วางแผน สร้างกลไกคาร์บอนเครดิต สู่ระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และระบบซื้อขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจระหว่างผู้ประกอบการในพื้นที่ อีอีซี ให้เป็นโครงการตัวอย่าง


