รับมือดิจิทัลดิสรัปชั่น ทำลายล้างเพื่อสร้างสรรค์
คลื่นดิจิทัลดิสรัปชั่นโหมโจมตีธุรกิจทั่วโลกมาพักใหญ่
คลื่นดิจิทัลดิสรัปชั่นโหมโจมตีธุรกิจทั่วโลกมาพักใหญ่ ทำให้หลายธุรกิจล้มหายตายจากไปหากไม่สามารถปรับตัวรับกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ก็ไม่สามารถที่จะต้านทานกระแสการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลได้ จึงจะยุติการพิมพ์หนังสือพิมพ์เหลือเพียงเว็บไซต์ข่าว
เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกสิกร บิซิเนส เทคโนโลยี กรุ๊ป (เคบีทีจี) ซึ่งเป็นกูรูด้านการรับมือกับเทคโนโลยี ดิสรัปชั่น กล่าวว่า ดิสรัปชั่นคือวงจรทำลายล้างเพื่อสร้างสรรค์ มันทำลายสิ่งเดิมแล้วสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา ชีวิตคนในยุคนี้ต้องทำลายล้างและสร้างสรรค์ คือ ทำลาย Mindset ตัวเอง ความเคยชินแบบเดิมๆ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาตลอดชีวิต และสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ
“แม้กระทั่งโพสต์ทูเดย์ก็เช่นกัน ปิดสิ่งพิมพ์ไปแต่ก็จะไปเกิดใหม่ในรูปแบบดิจิทัล นี่เป็นเฟสใหม่เป็นแชปเตอร์ใหม่ของคนโพสต์ด้วย ผมไม่ได้ให้กำลังใจอย่างเดียว แต่มันคือความจริงที่มีพลังมากๆ หากดูดิสรัปชั่นที่เกิดขึ้นอย่างจีน ธุรกิจมีเดียถูกดิสรัปไปหมดแล้วแต่จีนกลับมีสตาร์ทอัพด้านมีเดียที่ใหญ่ เช่น Bike Desk สตาร์ทอัพด้านมีเดียมีมูลค่าบริษัทละ 7 แสนล้านบาท หรือ 2 ล้านล้านบาท ใหญ่เท่าซีพี และใหญ่กว่ากลุ่มกสิกรไทยถึง 50%” เรืองโรจน์ กล่าว
เขามองว่าทุกครั้งที่ถูกดิสรัปชั่น มีโอกาสเสมอ และดิสรัปชั่นทุกครั้งไม่ได้หมายความว่าหายไป เพราะสุดท้ายสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความต้องการพื้นฐานของคน แค่เปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น เป็นการเปิดโอกาสมหาศาล เป็นวงจรชีวิต ทางพุทธศาสนา คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นคือเรื่องปกติธรรมดา สุดท้ายสิ่งนี้ไม่ใช่วงจรธุรกิจ เป็นวงจรของโลก เมื่อดับไปแล้วก็จะมีเกิดใหม่เสมอ
“ธุรกิจมีเดียในเมืองไทยมีโอกาสอีกเยอะ มีเดียแค่เปลี่ยนช่องทาง อย่างเด็ก มีแพลตฟอร์มคอนเทนต์ คนไทยสร้างคอนเทนต์เก่ง แต่คนไทยยังสื่อสารเป็นภาษาต่างชาติไม่เก่ง นี่เป็นเรื่องที่ติดขัดจากเจเนอเรชั่นเรา เมื่อไม่เข้าใจภาษาจะสร้างคอนเทนต์ภาษาอังกฤษเก่งได้อย่างไร คนไทยเก่งนะ เราเริ่มเห็น เช่น เกมแคสเตอร์ คอนเทนต์ไปลักษณะของเกม แต่ทักษะการเล่าเรื่องเป็นเรื่องสำคัญ ธุรกิจมีเดียเป็นการเล่าเรื่องแบบหนึ่ง เราเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่อง ที่ผมว่าตอนนี้มีแพลตฟอร์มเยอะมากที่สามารถสร้างกับต่างชาติได้ คิดว่าโชคดีเราอยู่ในยุคที่เปิดโอกาส Democratization เทคโนโลยีเข้าถึงทุกคน มอบอำนาจให้กับทุกคน เรื่องของสื่อคือการเล่าเรื่อง แค่วิวัฒนาการของมัน” เรืองโรจน์ กล่าว
สำหรับธุรกิจต่อไปที่จะถูกเทคโนโลยีดิสรัปชั่นนั้น ธุรกิจถัดไปคือธุรกิจค้าปลีก ซึ่งจริงๆ ต้องเรียกว่าคอมเมิร์ซ ทั้งหมดจะถูกดิสรัปแน่ๆ ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา ปี 2017 นับเป็นปีหายนะของวงการค้าปลีก มีห้างสรรพสินค้าปิดตัวลง 3,000-4,000 แห่ง และยังมีปัญหาต่อเนื่องมาจนถึงปี 2018-2019 ก็ยังไม่หยุดปิด ดังนั้นPhysical Retail ต้องถูกดิสรัปแน่ๆ แต่ประเทศไทยดีกว่าสหรัฐตรงที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ในเมือง ต่างประเทศห้างอยู่นอกเมือง คนอเมริกันจึงนิยมช็อปปิ้งออนไลน์ที่ง่ายกว่าเยอะ ส่งผลให้มี แอมะซอนเฟรช อีกหน่อยมีแอมะซอน โก คือคนมีเวลาน้อยลง Time is Luxury แต่เมืองไทยไม่เร็วขนาดนั้น ห้างยังอยู่ แต่ที่จะลำบากมากขึ้นเรื่อยคือ ค้าปลีกท้องถิ่น ที่เจอการทะลักสินค้าต่างชาติ สินค้าจีนเข้ามามีเรื่องราคา และตัดตัวกลางออกไป กลายเป็นความน่ากลัว สินค้าจะกลายเป็น Commodity ทันที ดังนั้น ค้าปลีกท้องถิ่นจะเหนื่อยขึ้นมาก หากไม่สามารถมีสินค้าตัวเองสร้างความแตกต่างได้ เราอยู่ในยุคที่ใครก็ตามสามารถเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการได้ ซัพพลายจะล้นตลาด ดีมานด์ยังไม่ฟื้น ค้าปลีกท้องถิ่นนอกจากแข่งแพลตฟอร์มออนไลน์ ยังแข่งดีมานด์ที่ไม่เพิ่มด้วยเจอดิสรัปชั่น 2 ประเด็นซ้อน
นอกจากนี้ หลังจากมีมีซูเปอร์แอพ ก็ยิ่งเร่งการเปลี่ยนแปลง อย่างไลน์แมนเปลี่ยนพฤติกรรมคนเยอะ Food Delivery ค้าปลีกอาหาร ซึ่งมีมูลค่าการตลาดประมาณ 3 หมื่นล้านบาท/ปี เติบโตปีละ 20-30% สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริิโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
“ส่วนตัวผมเดี๋ยวนี้ก็ไม่่ค่อยทานอาหารนอกบ้าน เพราะไม่มีเวลา จึงสั่งอาหารออนไลน์แทน สะดวกมากสำหรับคนอยู่ในเมืองหลวง แต่ต่างจังหวัดอาจจะยังจุดไม่ติด เพราะสะดวกที่จะเดินทางยังอยู่ แต่ Food Delivery มา
ต่อไปที่กระทบคือ โลจิสติกส์ และต่อไปคือออนไลน์เพย์เมนต์ ถัดไป คือฟินเทคหรือแบงก์ ต่อด้วย ประกัน ต่อไปเริ่มกระทบธุรกิจต่างๆ (บีทูบี) ทีละอุตสาหกรรม อย่างธุรกิจเกี่ยวเนื่องประเภทอสังหาริมทรัพย์ (พรอพเพอร์ตี้) โดยขั้นถัดไปที่จะเกิดเป็นโดมิโน
อีกอันหนึ่งที่เริ่มเห็นในเวฟถัดไป คือ Food-Agri-Bio อย่างฟู้ดเทคเมืองไทยมีศักยภาพมาก ตอนนี้ฟู้ดเทคยัง Down The Line อีกพักหนึ่งจึงจะกระทบ มีโอกาสที่ไทยเป็นครัวของโลก เราพูดถึงเทรนด์การกินอาหารเพื่อสุขภาพ แม้ปัจจุบันจะต้นทุนสูงแต่ต่อไปจะถูกลงและดีกับสภาพแวดล้อมด้วย ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าใช้พื้นที่ผลิตเนื้อโปรตีนต่อปอนด์น้อยกว่า ขณะนี้ Plant-Based Protein มาแรงมาก และประเทศไทยมีสินทรัพย์เหล่านี้อยู่เต็มประเทศ เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความทันสมัย(โมเดิร์นไนซ์) ด้วยการนำเทคโนโลยีใส่เข้าไป แล้วทำการตลาดดีๆ ฉะนั้น สิ่งที่เป็นไปได้สำหรับประเทศไทยในการเป็นผู้นำก็คือเรื่องอาหาร ซึ่งเป็นข่าวดีที่ภาครัฐกำลังผลักดันการเป็นศูนย์กลางด้านอาหารของโลก โดยทำงานใกล้ชิดกับกองทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านอาหาร
Agriculture หรือ เกษตร ต้องถูกเปลี่ยนแน่ ซึ่งพูดกันถึงเกษตรอินทรีย์สมาร์ทฟาร์เมอร์ อย่างที่ผมไปต่างประเทศชาวนา 1 คน ทำนาเป็น 100 เอเคอร์ เริ่มตั้งแต่หว่านไถ่ เป็นอัตโนมัติคุมจากไอแพด มีโดรนคอยสำรวจ มีรถวิ่งตรวจสอบดิน ว่าจุดนั้นมีสารอาหารพอไหม ถ้าไม่พอก็ใส่สารเคมีชีวภาพลงไปในตารางเมตรนั้นเลย แม่นยำระดับนั้น และตรวจจับวัชพืชด้วยกล้องวงจรปิดยิงเลเซอร์ที่ควบคุมจากแท็บเล็ตทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เป็นเซอร์วิสที่ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เลย เป็นSharing Economy โดรนบินมาจากฟาร์มนี้ไปต่ออีกฟาร์มหนึ่ง นั่นคือ โลกที่กำลังเปลี่ยนไป
“ไบโอเทคเป็นเรื่องสุขภาพ เฮลท์แคร์เป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ต้องถูกดิสรัป เมืองไทยมีศักยภาพด้านนี้เช่นเดียวกัน ในอนาคตจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่กว่าอินเทอร์เน็ต 10 เท่า ซึ่งอินเทอร์เน็ตได้สร้างธุรกิจแอปเปิ้ล กูเกิล ขึ้นมา แต่ Food-Agri-Bio จะใหญ่กว่านั้นไป 10 เท่า ไบโอเทคอย่างเดียว 4 เท่า นั่นหมายความว่าเราสร้างกูเกิล เฟซบุ๊ก เน็ตฟลิกซ์ แอมะซอนคูณ 10 นั่นคือประเทศไทย Leap Frog หรือก้าวกระโดดได้ทันที แทนที่จะโฟกัสอะไรที่ไม่ใช่จุดแข็งเราก้าวข้ามไปยัง Food-Agri-Bio เพื่อคิดว่าจะทำยังไง เราสามารถส่งออกเทคโนโลยีที่เรามีจุดแข็งได้ สามารถเริ่มตอนนี้ได้เลย ฝากถึงรัฐบาลใหม่ด้วย คิดข้ามไปเลยว่า อีก 5 ปีข้างหน้า Food-Agri-Bio จะเป็นยังไง” ประธานเคบีทีจี กล่าว
ถึงตอนนี้ ต้องถามว่า อะไรไม่ถูกดิสรัป ทุกอุตสาหกรรมถูกเปลี่ยนใหม่ แต่มีโอกาส อย่างธนาคารกสิกรไทยมี นวัตกรรมทางการศึกษา (เอ็ดเทค) ทำงานร่วมกับธรรมศาสตร์สามารถออกให้ประกาศนียบัตรได้ และนำมาปรับใช้ในการปรับทักษะแก่พนักงานกสิกรไทยด้วย นี่เป็นเรื่องใหญ่ และน่าตื่นเต้น เรามองโลกได้หลายเลนส์ แต่เลนส์ที่เราควรมองคือเลนส์ที่มองบวก ทักษะของคนเราในยุคนี้ที่จะอยู่รอดได้ต้องอัพเกรดทักษะทุกปี คือ 37% ของทักษะเราหรือประมาณ 1 ใน 3 หรือทักษะที่เรารู้ครึ่งหนึ่ง จะใช้ไม่ได้แล้ว เหมือนการ Unlearn- Relearn แต่จำไว้เสมอว่าแมกนิจูดของมันคือ 50% ทุกปี นี่คือความยากของมัน ทักษะที่สำคัญที่สุดคือทักษะการเรียนรู้และทิ้งความรู้เก่าๆ ออกไปและทักษะการปรับตัว และอีกทักษะที่คนไทยต้องมี คือ Grid ความอึด ขวิด ทะลุทุกอย่าง คนไทยต้องมี Fighting Spirit ถ้ามีลูกมีหลานยุคนี้ห้ามสปอยล์เด็ดขาด และทักษะที่สำคัญคือทักษะการคิด ทักษะการเรียนรู้ ทักษะการเล่าเรื่อง การคิดเชิงวิพากษ์ และคิดเป็นระบบ เป็นทักษะที่คนไทยยุคใหม่ทุกคนต้องมี ซึ่งน่าเศร้ามากยังไม่มีในจุดนี้
ทางด้าน พันนิกข์ โชตินุชิต ผู้จัดการใหญ่การตลาดสาย CRM & Loyalty Card บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป กล่าวว่า ในยุค Digital Disruption มีการแข่งขันสูงทั้งจากใน Retail Industry และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทำให้ M Card ไม่ใช่แค่บัตรสะสมแต้มกับโปรโมชั่น แต่เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ของเดอะมอลล์ ที่ลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง Customer Centric เห็นได้จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้งบกว่า 100 ล้านบาท ในการสร้าง Customer Platform ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กดาต้าเชื่อมโยงทุกระบบในองค์กรและภายนอก Open API ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ลูกค้าเชิงลึกทั้ง 360’Customer View สร้าง Digital Engagement ผ่าน M Card Mobile Application นำ IoT (Internet Of Things) Device ต่างๆ มาใช้ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการช็อปปิ้ง และล่าสุดในปีนี้ได้เริ่มทดลอง AI (Artificial Intelligent - Machine Learning) ในการนำมาทำแคมเปญพิเศษแบบ One-On-One หรือการให้บริการลูกค้าผ่าน Intelligent Chatbot


