ทางเลือกเสนาบดีของถังเสวียนจง
ถังเสวียนจง (หลี่หลงจี) เป็นฮ่องเต้ลำดับที่ 7
ถังเสวียนจง (หลี่หลงจี) เป็นฮ่องเต้ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์ถัง พระองค์คือคู่ครองของหยางกุ้ยเฟย หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์จีน
รัชสมัยของถังเสวียนจงเป็นทั้งยุคที่รุ่งเรืองสูงสุดและเป็นจุดพลิกผันให้ราชวงศ์ถังอันยิ่งใหญ่ตกต่ำอย่างกู่ไม่กลับในรัชสมัยเดียว
ตามหลักเรื่องร้ายต้องรายก่อน... สิ่งที่ทำให้ราชวงศ์ถังตกต่ำอย่างกู่ไม่กลับ คือการก่อกบฏซึ่งนำโดยอันลู่ซาน-แม่ทัพชนเผ่านอกด่านที่ได้รับความไว้วางใจจากถังเสวียนจงให้คุมกองทัพแถบชายแดน
กบฏยึดอำนาจครั้งนั้นทำเอาแผ่นดินถังเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว
ถังเสวียนจงคือหนึ่งในจำเลยของคดีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนรุ่นหลังมักเห็นว่าเป็นเพราะม้าตีนต้นอย่างถังเสวียนจงดันติดหญิง หลงระเริง และใช้คนผิด จึงทำให้การปกครองช่วงหลังเละเทะอย่างไม่น่าให้อภัย...
หากย้อนดูด้านดีในช่วงต้นรัชสมัยของพระองค์ ก็ควรเริ่มเกริ่นกันตั้งแต่ปลายสมัยหวู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน)
เมื่อหวู่เจ๋อเทียนแทรกตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงในราชวงศ์ถัง แล้วถูกขุนนางและลูกหลานฮ่องเต้ถังรัฐประหารยึดอำนาจกลับ ต่อจากนั้นการเมืองยังคงระส่ำระสายอีกหลายระลอก
เริ่มด้วยความพยายามยึดอำนาจจากเหวยฮองเฮา-ฮองเฮาของฮ่องเต้ถังองค์ถัดมา ที่คิดตั้งตนเป็นฮ่องเต้แบบหวู่เจ๋อเทียน
หลี่หลงจี (ชื่อเดิมของถังเสวียนจง) คือหนึ่งในหัวโจกที่รวมตัวยึดอำนาจจากเหวยฮองเฮาคืน
สุดท้าย ตำแหน่งฮ่องเต้ตกอยู่กับพ่อของหลี่หลงจี ไม่กี่ปีถัดมาหลี่หลงจีขึ้นครองราชย์ในชื่อถังเสวียนจง แต่งานแรกของรัชกาลเริ่มด้วยการปราบองค์หญิงไท่ผิง ซึ่งคิดจะเดินรอยตามหวู่เจ๋อเทียน (อีกแล้ว)
แล้วความวุ่นวายหลายระลอกในการชิงอำนาจก็จบลง ถังเสวียนจงเป็นผู้นำเสถียรภาพทางการเมืองมาสู่ราชสำนักและแผ่นดินอีกครา
ในช่วงต้นรัชสมัยของถังเสวียนจง แผ่นดินถังรุ่งเรืองถึงขีดสุด ประชากรในเมืองฉางอันมีมากกว่า 1 ล้าน และยังเป็นคุณภาพตลาดบนอยู่จำนวนมากเสียด้วย ทั้งกวี นักประพันธ์ นักดนตรีมากฝีมือล้วนผุดขึ้นในยุคนี้ ศิลปวัฒนธรรมและความรุ่งเรืองในตอนนั้นทำให้แผ่นดินถังเป็นดินแดนที่รุ่งเรืองอันดับหนึ่งของโลก
ความดีความชอบส่วนหนึ่งคงต้องยกให้หวู่เจ๋อเทียน เพราะทันทีที่พระนางขึ้นครองราชย์ ก็เริ่มนโยบายวางรากฐานการสำรวจสำมโนประชากร บริหารท้องพระคลัง ส่งผลให้เก็บภาษีได้เต็มที่
ซึ่งแม้ศึกชิงอำนาจในราชสำนักจะทำการเมืองสะดุด แต่เศรษฐกิจรากหญ้ากลับไม่สะเทือน
ปัญหาคือ ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจรากหญ้าเท่านั้นที่เติบโต ระบบขุนนาง กองทัพ และเชื้อพระวงศ์ก็เติบโตขยายตัวไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง
จากยุคฮ่องเต้ถังไท่จง-รัชกาลที่สองของราชวงศ์ถัง ที่ราชสำนักส่วนกลางมีขุนนางอยู่ 730 ราย พอมาถึงรัชสมัยถังเสวียนจง แค่นางในอย่างเดียวก็มีถึง 4 หมื่นราย เมื่อรวมกับขุนนางอีกกว่าหมื่น และบรรดาพระญาติทั้งหลาย ศักยภาพของเมืองฉางอันจึงไม่สามารถรับจำนวนผู้คนทั้งตลาดบนล่างมากมายขนาดนี้ได้เสียแล้ว
จากยุคถังไท่จงที่เมืองฉางอันต้องนำเข้าข้าวมาหล่อเลี้ยงพลเมืองต่อปีกว่า 1 หมื่นตัน พอมาในยุคถังเสวียนจง ปริมาณข้าว 1-1.5 แสนตัน ก็ยังเลี้ยงพลเมืองชาวฉางอันได้ไม่พอ
ราชสำนักถังไม่ทนหิว ก่อนหน้านั้นในสมัยถังเกาจง-พระสวามีของหวู่เจ๋อเทียน ก็เริ่มเกิดปรากฏการณ์ย้ายราชสำนักจากฉางอันไปลั่วหยางถึง 7 หน
เพราะศักยภาพการขนส่งอาหารเข้ารองรับประชากรฉางอันทางน้ำรับไม่ไหว ขณะที่การขนส่งทางบกก็ใช้ต้นทุนสูงเกินไป การย้ายปากท้องไปอยู่อีกเมืองเป็นครั้งคราวดูจะง่ายกว่า
เมื่อรวมกับปัจจัยข้ออื่น พอหวู่เจ๋อเทียนขึ้นเป็นฮ่องเต้ จึงตัดสินใจตั้งรกรากที่ลั่วหยางไม่ย้ายกลับฉางอันอีกเลย
จนถึงต้นรัชสมัยของถังเสวียนจง แม้เศรษฐกิจจะรุ่งเรืองแต่ปัญหานี้ก็ยังคงคาราคาซัง ถังเสวียนจงยังคงต้องย้ายไปย้ายมาระหว่างลั่วหยางกับฉางอันอยู่ดี
ทั้งรัชศกไคหยวน-28 ปีแรกของพระองค์ ทรงอยู่ฉางอันรวมกันนานไม่ถึง 10 ปี
ในความรุ่งเรืองจึงมีความฝืดเคืองฝังใจถังเสวียนจงอยู่ และปัจจัยที่สร้างความฝืดเคือง คือความใหญ่โตของราชสำนัก กองทัพ และกลุ่มเชื้อพระวงศ์
ความฝืดเคืองนี้เองที่ทำให้ถังเสวียนจงใช้คนเปลี่ยนไป
ในช่วงแรกพระองค์ทรงแต่งตั้งกลุ่มขุนนางประเสริฐให้เป็นเสนาบดี ไม่ว่าจะเป็น เหยาฉง ซ่งจิ่ง จางซัว จางจิ่วหลิง ทั้งหมดต่างเป็นขุนนางมีอุดมการณ์แสนดี เช่น ลดความฟุ่มเฟือย ขจัดคอร์รัปชั่น ลดภาระให้ราษฎร สมเป็นขุนนางในอุดมคติในลัทธิขงจื๊อ
ดูไปก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ในมุมของท้องพระคลังกลับแบกภาระหนักอึ้งไว้ ขุนนางประเสริฐอาจให้ทางแก้ไขเรื่องนี้ด้วยวิธีประหยัด ตัดค่าใช้จ่าย ลดงบการทหาร จำกัดเบี้ยหวัดขุนนาง แต่เรื่องหาเงินเข้าท้องพระคลังเพิ่มเติมขุนนางกลุ่มนี้กลับไม่มีคำตอบ
ในอุดมการณ์แบบขงจื๊อ การเพิ่มส่วยภาษีเป็นงานด้านมืด คือการปอกลอกประชาชี แม้อุดมคติจะต้องการคนที่ทั้งไม่ปอกลอกราษฎรและบริหารท้องพระคลังได้ดี แต่มันเป็นไปได้ยากจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคนั้น
เพราะทรัพย์สินในใต้หล้ามีจำกัด ถ้าทรัพย์ไม่ตกอยู่ที่ราษฎร ก็อยู่ที่ราชสำนัก ต้องเลือกเอา
รอบกายถังเสวียนจงจึงผุดขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมา ซึ่งก็คือพวกขุนนางที่ถนัดหารายได้เข้าคลัง
ขุนนางที่ว่ารวมถึง 2 กังฉินอย่าง หลี่หลินฝูและหยางกว๋อจง(คนหลังเป็นพี่ชายของหยางกุ้ยเฟย)
ช่วงแรก ถังเสวียนจงใช้ขุนนางประเสริฐดูแลประชา ใช้ขุนนางถนัดหาเงินดูแลพระคลัง จัดว่าวางสมดุลได้ดี
เกียรติและบารมีจึงมีขุนนางประเสริฐช่วยรักษา ส่วนงานด้านมืดก็มีขุนนางหาเงินคอยดูแล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาระท้องพระคลังเริ่มกดดันมากขึ้น ถังเสวียนจงจึงเริ่มโอนเอียงข้างเข้าสู่ด้านมืดอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตัวอย่างความขัดแย้งเรื่องนี้นั้นมีอยู่ เช่น ในกรณีที่อวี่เหวินหรงตอนเป็นขุนนางผู้ตรวจการ ใช้ความเข้มงวดเพิ่มทะเบียนราษฎรให้ราชสำนักได้อีก 8 แสนครัวเรือน เก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2-3 ล้านพวงเงินในหนึ่งปี ผลงานระดับนี้ ถังเสวียนจงจะไม่เลื่อนขั้นให้อวี่เหวินหรงได้อย่างไร
แต่บรรดาขุนนางกินอุดมการณ์ต่างไม่ยินยอม เห็นผลงานอวี่เหวินหรงเป็นแค่การปอกลอกราษฎรมากขึ้น ท่ามกลางเสียงทักท้วงของขุนนางสายอุดมการณ์ อวี่เหวินหรงได้เลื่อนขั้นเป็นเสนาบดีเพียง 99 วัน ก็ถูกปลด
หลังเหตุการณ์นี้ ถังเสวียนจงถามเสนาบดีเผยกวงถิงว่า “ข้าปลดอวี่เหวินหรงตามที่พวกเจ้าต้องการแล้ว แต่พอเขาไป ท้องพระคลังมีทรัพย์สินไม่พอใช้ พวกเจ้าจะช่วยอะไรข้าได้บ้าง” แต่เผยกวงถิงกลับเงียบงัน
โศกนาฏกรรมในช่วงหลังของฮ่องเต้ถังเสวียนจงเริ่มเดาได้ไม่ยาก เมื่อพระองค์เลือกหลี่หลินฝู่กับหยางกว๋อจงขึ้นมาเป็นเสนาบดี ในมุมของผู้คนยุคหลังอาจมองว่าทั้งสองเป็นขุนนางกังฉิน แต่ในสายตาของถังเสวียนจงในตอนนั้น คนพวกนี้คือมือเศรษฐกิจชั้นยอด
หลี่หลินฝู่ เป็นเสนาบดีอยู่นานถึง 19 ปี จัดเป็นขุนนางที่อยู่ในตำแหน่งนี้ได้นานที่สุดคนหนึ่งของราชวงศ์ถัง และที่อยู่ได้นานขนาดนี้เพราะเขาทำให้กระเป๋าถังเสวียนจงไม่ฝืดเคือง
พ่อมดการเงินคนนี้นี่แหละที่เสนอให้ลดภาระของราชสำนัก ด้วยการปล่อยให้กองกำลังแถบชายแดนบริหารตัวเองอย่างลอยตัว ตัดภาระที่ราชสำนักต้องเลี้ยงดูกองทัพส่วนหนึ่งไป (ซึ่งสุดท้ายยังมีภาระแฝงอยู่ดี แต่ก็ถือว่าซ่อนภาระเฉพาะหน้าไปได้ทันใจ)
นโยบายนี้เหมือนยาแก้ปวดด้านเศรษฐกิจชั่วคราว แต่กลับแฝงไว้ซึ่งปัญหาที่น่ากลัวยิ่งกว่า ซึ่งนั่นก็คือการซ่องสุมกำลังอันนำไปสู่เหตุการณ์กบฏอันลู่ซานที่เกริ่นไว้ข้างต้น
หลังจากหลี่หลินฝู่ตายไป หยางกว๋อจงก็ขึ้นเป็นเสนาบดีแทน
ตำแหน่งนี้มิได้ได้มาเพียงเพราะเขาเป็นพี่ชายหยางกุ้ยเฟยหยางกว๋อจงก็เป็นมือพระคลังชั้นดีเช่นกัน เขารักษาระดับทรัพย์สินในท้องพระคลังให้มีเพียงพอตลอดเวลา ในสมัยหยางกว๋อจงเป็นเสนบดี ราชสำนักไร้ปรากฏการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง
และโฟกัสของหยางกว๋อจงก็อยู่ที่เงินตลอดเวลา
ขนาดเมื่อกบฏอันลู่ซานยกทัพเข้าประชิดเมือง กองทัพเมืองต่างๆ จะยกเข้าช่วย แต่สิ่งที่หยางกว๋อจงคิดเป็นสิ่งแรกคือเสียดายเงินที่จะต้องใช้กับการเคลื่อนทัพ พยายามไม่ให้เงินในท้องพระคลังโดนแตะต้อง ไม่ได้โฟกัสเรื่องการจัดวางกำลังเพื่อเอาชนะอันลู่ซาน
ภารกิจที่หยางกว๋อจงทำเป็นสิ่งสุดท้าย คือส่งคนไปเมืองไท่หยวน เพื่อกว้านซื้อใบบวชเอาไว้เป็นรายได้สำรอง(ยุคนั้นมีการจำกัดจำนวนนักบวช เพราะนักบวชได้สิทธิเว้นการเกณฑ์ทหารและจ่ายภาษี ผู้ที่จะบวชได้ต้องมีใบอนุญาตจากทางการ ใบบวชนี้จึงมีมูลค่า และต้องซื้อขายกัน) นี่คือหลักฐานว่าหยางกว๋อจงโฟกัสอยู่แต่เรื่องเงิน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ถังเสวียนจงเลือกใช้เขา
พูดถึงจุดนี้จะพอเข้าใจได้ว่าไม่ใช่เพราะไอคิวของถังเสวียนจงเปลี่ยนไป แต่ที่เลือกใช้กังฉินติดต่อกันเป็นเพราะถังเสวียนจงไร้ทางออกในการแก้ปัญหาท้องพระคลัง
ถังเสวียนจงแก้โรคภัยเฉพาะหน้าที่คาราคาซังมานาน ด้วยการกินยาแก้ปวดเท่านั้น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายานี้มีผลข้างเคียง
เรื่องราวข้างต้นไม่ได้หวังพลิกคดีให้กังฉินกลายเป็นคนดี หรือถังเสวียนจงกลายเป็นคนมีเหตุผล แต่มันจะดีไม่น้อย ถ้าหนทางของขุนนางประเสริฐที่ต้องการเติมเต็มอุดมการณ์ จะมิได้คิดแต่จะเติมเต็มอุดมคติความดีของตนเพียงด้านเดียว แต่มีคำตอบและความสามารถเรื่องปากท้องและเศรษฐกิจด้วย
ในประวัติศาสตร์หน้านี้ อุดมการณ์แสนดีที่ให้คำตอบเรื่องปากท้องไม่ได้ ก็คือบันไดขั้นแรกของการก้าวขึ้นสู่อำนาจของกังฉินนี่เอง


