แอร์เอเชียเล็งนกแอร์ ยอมรับมีการพูดคุยแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป

ไทยแอร์เอเชีย ชี้นักท่องเที่ยวปีนี้โตขึ้นสอดคล้องกับแผนเพิ่มจำนวนผู้โดยสารของบริษัท

น.ส.ณัฏฐิณี ตะวันชุลี ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า กรณีข่าวบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น ผู้บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย สนใจซื้อหุ้นสายการบินนกแอร์นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากจะต้องรอข้อสรุปอย่างเป็นทางการ โดยยอมรับว่ามีการเจรจาพูดคุยระหว่างบริษัทจริงถึงโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งขอเน้นว่ายังไม่มีการระบุถึงข้อสรุปใดๆ ถึงข้อตกลงดังกล่าว

ทั้งนี้ รายงานข่าวจากสายการบินไทยแอร์เอเชีย ระบุว่า บริษัทได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อหุ้นบริษัท นกแอร์ จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ จุฬางกูร ซึ่งถือหุ้นรวมกันราว 53% ส่งผลให้ในช่วงเช้าของวันที่ 25 ก.พ. 2562 ราคาหุ้นของบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น ปรับขึ้น 0.10 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.2% หรืออยู่ที่หุ้นละ 4.60 บาท

นายสันทัด สงวนดีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เอเชีย เอวิ เอชั่น กล่าวว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยสอบถามมายังบริษัท เกี่ยวกับข้อมูลซึ่งปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับการเข้าซื้อหุ้นนกแอร์จากกลุ่มจุฬางกูร บริษัทขอเรียนว่าบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาถึงความเหมาะสมในการลงทุนดังกล่าว แต่ยังมิได้มีข้อตกลงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และยังไม่ได้กระทำการใดๆ ที่มีผลผูกพันบริษัทเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นนกแอร์

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะแจ้งให้ตลาด หลักทรัพย์ทราบโดยทันทีหากมีความ คืบหน้าหรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ส่วนราคาหุ้นนกแอร์ อยู่ที่ 3.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.34 บาท หรือ 12%

สำหรับผลประกอบการนกแอร์ เคยขาดทุนสูงสุดปี 2559 จำนวน 2,795 ล้านบาท ส่วน ณ ไตรมาส 3 ปี 2561 ขาดทุน 1,962 ล้านบาท ซึ่งนกแอร์เคยมีการบินไทย เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบันเหลือหุ้น 15.94% จากเดิมช่วงก่อตั้งนกแอร์เมื่อปี 2549 การบินไทยถือหุ้น 49% โดยกลุ่มจุฬางกูรเป็นเครือญาติกับครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ประกอบธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของประเทศ โดยปัจจุบันมี 2 คนที่เล่นการเมือง คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

น.ส.ณัฏฐิณี กล่าวต่อไปว่า ปี 2562 มีการคาดการณ์นักท่องเที่ยวในประเทศไทยเติบโตขึ้น โดยสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางกับสายการบินราว 23 ล้านคน จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 21 ล้านคน ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลดีในปีนี้คือ ความชัดเจนในการเลือกตั้ง และการขยายระยะเวลางดเว้นการขอวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งส่งผลดี และหากมีการขยายระยะเวลาต่อจะยิ่งส่งผลบวกขึ้นอีก

ขณะที่การแข่งขันของสายการบินต้นทุนต่ำ หรือโลว์คอสต์แอร์ไลน์ มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการมีผู้เล่นหน้าใหม่ลงสู่ตลาดและการทำการตลาดของผู้เล่นที่มีอยู่ ส่งผลให้บริษัทต้องปรับตัวรับกับการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง