posttoday

กลไกสลายอำนาจ-ด้วยสนามสอบเคอจวี่

17 กุมภาพันธ์ 2562

หลังจากยุคสามก๊กรวมเป็นหนึ่งในราชวงศ์จิ้นเป็นต้นไป

หลังจากยุคสามก๊กรวมเป็นหนึ่งในราชวงศ์จิ้นเป็นต้นไป จีนก็ยังต้องวุ่นวายอยู่กับบ้านเมืองที่ปักหลักมั่นไม่ได้อยู่พักโต

สามก๊กหน้าสุดท้ายจึงไม่ได้บอกว่าจีนจะ “เป็นสุขหลังเป็นศึก”

หากใครหวังว่านิยายการเมืองในประวัติศาสตร์จริงจะจบด้วยความแฮปปี้เอนดิ้งคงต้องผิดหวัง เพราะช่วงสุขนั้นแสนสั้นกว่าที่คิด

เพราะยุคต่อมาในช่วงราชวงศ์จิ้นตะวันตก จิ้นตะวันออก จนถึงราชวงศ์เหนือ-ใต้ จีนยังต้องพบกับความวุ่นวายอีกกว่า 350 ปี จึงค่อยก้าวสู่ยุคราชวงศ์ถังอันรุ่งเรือง

ในทางวิชาการจึงมักเรียกรวมราชวงศ์เว่ย (วุยก๊กของโจผี) จิ้น ราชวงศ์เหนือ-ใต้ (魏晋南北朝) เป็นซีรี่ส์เดียวกัน เพราะสภาพบ้านเมืองช่วงนั้นยังไม่ค่อยคงตัว แม้ราชสำนักจะผลัดใบเปลี่ยนขวดเปลี่ยนขั้ว แต่รสชาติความวุ่นวายยังเป็นเหล้าเดิมที่หมักนานขึ้นอีกหน่อย

ปัจจัยหนึ่งของความวุ่นวายช่วงนั้น เกิดจากดุลอำนาจของตระกูลขุนนางในท้องถิ่นเข้มแข็งกว่ายุคอื่นใด

พูดแบบนี้อาจไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไร แต่ถ้ายกตัวอย่างเหตุการณ์ตระกูลซือหม่า (นำโดยสุมาอี้) ที่จู่ๆ ก็สามารถเทกโอเวอร์รัฐประหารแผ่นดินราชวงศ์เว่ย (ที่บุกเบิกโดยโจโฉ) ได้อย่างง่ายดาย คงเข้าใจง่ายขึ้นเป็นกอง

สถานการณ์คล้ายๆ กันนี้ยังเกิดขึ้นบ่อยตั้งแต่ยุคราชวงศ์จิ้นถึงยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้

อันที่จริงตระกูลขุนนางส่วนใหญ่ไม่ได้มีความทะเยอทะยานมากมาย ตราบใดที่นโยบายของราชสำนักไม่คุกคามตระกูลของตน ก็ย่อมยอมร่วมมือเป็นอย่างดี

แต่หากความไม่ไว้ใจกันเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ละฝ่ายก็มักหาเหตุชิงลงมือก่อนเสมอ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลและบารมีที่ตระกูลขุนนางมีนั้นสูสีกับฮ่องเต้

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบ่อยในยุคนี้ จึงเกิดจากศึกภายใน

แต่น่าแปลกที่ว่าพอถึงราชวงศ์ถัง (หลังยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้) เป็นต้นไป ปรากฏการณ์ตระกูลขุนนางในท้องถิ่นที่แข็งข้อกับราชสำนักในหน้าประวัติศาสตร์ก็ค่อยๆ เบาบางลง

คำอธิบายส่วนใหญ่มักบอกว่า นี่เป็นผลมาจากการเริ่มใช้ระบบคัดเลือกขุนนางจากการสอบที่เรียกว่า “ระบบสอบเคอจวี่” (ไทยมักเรียกผิดว่าสอบจอหงวน-ที่จริงคำว่า “จอหงวน” เป็นเพียงชื่อตำแหน่งคนที่สอบได้อันดับหนึ่งในสำเนียงแต้จิ๋วเท่านั้น)

ต้องเกริ่นหน่อยว่า ก่อนหน้าที่จะใช้การสอบเคอจวี่หาขุนนาง ราชสำนักมีวิธีหาคนมาทำงาน ด้วยการให้ขุนนางเดิมแนะนำขุนนางใหม่ โดยไม่ต้องสอบแข่งขันกัน

ซึ่งก็ลงท้ายด้วยการสั่งสมบารมีกันภายในตระกูลขุนนางเดิม...

ไม่แนะนำญาติพี่น้องให้ร่วมกันเป็นใหญ่ แล้วจะแนะนำใคร... จริงไหมล่ะ

ตระกูลขุนนางจึงยิ่งขยายใหญ่ และเมื่อยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งพากันนำคนของตนเข้าไปสร้างอิทธิพลในราชสำนักได้มากขึ้น

ด้วยระบบนี้ ฮ่องเต้จึงทำได้แต่การหาสมดุลจากมุ้งตระกูลที่แตกต่างกัน แต่การเกี้ยเซี้ยระหว่างตระกูลขุนนางใหญ่นอกวังและการขยายอิทธิพลขึ้นในทุกตระกูลก็ไม่เคยหยุดได้สักที

แต่แล้วการสอบเคอจวี่ก็ปฏิสนธิขึ้นในช่วงยุคราชวงศ์สุยอันแสนสั้นและถูกราชสำนักถังปรับใช้ต่อมา

แล้วระบบสอบเคอจวี่ซึ่งเป็นเพียงระบบคัดเลือกขุนนาง จะทำให้ตระกูลขุนนางใหญ่ในแต่ละท้องถิ่นอ่อนแอลงได้อย่างไร?

หากคิดชั้นเดียวก็มักอธิบายว่า... การสอบเคอจวี่ทำให้มีปริมาณชาวบ้านที่ตั้งใจเล่าเรียนเข้ามาเจือปนแบ่งในอำนาจแห่งราชสำนัก ลดสัดส่วนการสั่งสมบารมีของตระกูลขุนนางให้จางลง

แม้ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล แต่ชีวิตชาวบ้านที่ไม่มีตระกูลใหญ่หนุนหลังย่อมไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน (หรือถ้ามันเป็นไปตามกลไกง่ายๆ เช่นนั้นจริง มีหรือตระกูลขุนนางจะอยู่นิ่งๆ ให้เจือจาง)

เพราะว่าทุกการสอบต้องเอาชนะกันด้วยการกวดขันร่ำเรียน ที่ต้องใช้ทรัพยากรเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะการเงินหรือด้านระยะเวลา

การศึกษาในยุคนั้นยังมีต้นทุนแสนแพง โดยเฉพาะในยุคที่กระทรวงศึกษาฯ ของราชวงศ์ถังยังไม่ได้มีซีดีที่ก๊อบปี้แจกให้ชาวบ้านได้เรียนทางไกล

และถึงแม้ยุคราชวงศ์ถังจะเกิดเทคนิคการพิมพ์หนังสือแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้กับคัมภีร์ทางพุทธศาสนา มิได้ใช้กับตำราติวสอบเคอจวี่

ตำรายุคนั้นจึงจัดเป็นงานคราฟต์พันธุ์แท้ เพราะคัดลอกด้วยลายมือ กำลังการผลิตไม่มาก ราคาไม่ย่อมเยา

ไหนชาวบ้านยังจะต้องดูแลไร่นาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ใช่จะหาเวลาเล่าเรียนท่องตำราได้ง่ายๆ โอกาสสอบได้จึงน้อยนิด แม้จะอยู่ภายใต้ยุคที่ได้ชื่อว่า มีโอกาสเป็นขุนนางได้อย่าง “เท่าเทียม”

ความแตกต่างราวฟ้ากับเหวของต้นทุนการสอบเคอจวี่ ระหว่างลูกหลานตระกูลใหญ่กับลูกหลานชาวบ้านสะท้อนออกมาทางสถิติ

ตลอดราชวงศ์ถังมีเสนาบดี 400 กว่าคน ทั้งนี้มาจากระบบการสอบเคอจวี่เพียงครึ่งหนึ่ง และในครึ่งหนึ่งนั้นมาจากชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลใหญ่ประมาณ 50 คน

เป็นจำนวนเพียงแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์

ในขณะที่ลำพังตระกูลขุนนางเช่นตระกูลชุยเพียงตระกูลเดียว นั้นกลับมีชื่ออยู่ในตำแหน่งเสนาบดีปาเข้าไปถึง 32 คน

เช่นนี้แล้ว ขุนนางเลือดสามัญชนจะไปเจือจางตระกูลใหญ่ได้อย่างไร

แต่อย่าเพิ่งรีบสรุปไป แม้ขุนนางชาวบ้านจะเข้ามาเจือจางไม่ได้ แต่การสั่งสมอิทธิพลของตระกูลขุนนางในท้องถิ่นกลับลดลง

เพราะแม้การสอบเคอจวี่ยุคราชวงศ์ถังจะเอาชาวบ้านเข้าไปเป็นขุนนางจำนวนมากไม่ได้ แต่มันกลับสร้างกลไกใหม่ที่ทำให้อำนาจของตระกูลขุนนางใหญ่ในท้องถิ่นค่อยๆ สลายตัวเอง

เพราะระบบการสอบเคอจวี่สร้างเส้นทางการเข้ารวมกับอำนาจส่วนกลางขึ้นมาใหม่ โดยเส้นทางใหม่นี้มีจุดขายอยู่ที่ “ต้นทุน”

ไม่ว่าคนในตระกูลขุนนางหรือชาวบ้าน หากอยากเป็นขุนนาง ก็แค่สอบกันเข้ามาเท่านั้น

จากเดิมที่ตระกูลขุนนางในแต่ละท้องถิ่นจะสั่งสมบารมีได้ ต้องมีทั้งที่ดิน ทั้งกำลังคน กำลังทรัพย์ และยังต้องคอยสร้างคอนเนกชั่นทั้งกับตระกูลอื่นภายในท้องถิ่นและกับราชสำนักไว้

ซึ่งจะว่าไปแล้วการลงทุนข้างต้นนับว่าใช้ต้นทุนสูงและซับซ้อน

แต่ระบบสอบเคอจวี่กลับให้ทางลัดที่ว่องไว แม้จะต้องสอบแข่งขันกันกับผู้คนมากมาย แต่ด้วยทรัพยากรที่ได้เปรียบชาวบ้าน เพียงแค่การลงทุนไปกับเวลาอ่านหนังสือ หรือแค่จ้างเหล่าซือมาติว ก็สามารถเข้าร่วมระบบการปกครองกับราชสำนักได้ไม่ต่างจากเดิม

การสอบเคอจวี่จึงมีต้นทุนที่ถูกกว่าการสั่งสมบารมีในท้องถิ่นแบบเดิมๆ แยะเลย แล้วใครจะไม่เลือก

แต่ในทางเลือกที่ง่าย ก็มีสิ่งที่ต้องจ่ายตอบแทน

เพราะเมื่อราชวงศ์ถังใช้ระบบสอบเคอจวี่นานไป ตระกูลใหญ่ในท้องถิ่นทั้งหลายก็เริ่มลด ละ เลิก ลงทุนในกลไกที่สร้างอำนาจในท้องถิ่นดั้งเดิมของตน

จากการค่อยๆ สั่งสมความเป็นใหญ่ในท้องถิ่น ก็เปลี่ยนไปเป็นสมัครใจใช้ทางลัดมุ่งสู่เมืองฉางอัน (เมืองหลวงของราชวงศ์ถัง) เพื่อมาสอบเคอจวี่แทน

ตระกูลที่เคยรักษาฐานอำนาจในท้องถิ่นอย่างเหนียวแน่น ก็ย้ายฐานมารวมตัวสร้างอิทธิพลแข่งกันที่ฉางอานมากขึ้นทุกที

ปะเหมาะกับวิกฤตในปี ค.ศ. 905 ที่จูเวิน (ภายหลังสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้แห่งราชวงศ์โฮ่วเหลียงในยุค 5 ราชวงศ์) บุกโจมตีฉางอัน และสังหารขุนนางตระกูลใหญ่ 30 ตระกูลในคราเดียว จึงทำให้เกิดยุคตกต่ำของตระกูลขุนนางท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ผลข้างเคียงเช่นนี้เองที่ทำให้กติกาการเข้าถึงอำนาจรูปแบบใหม่ ทำลายอิทธิพลท้องถิ่นให้ค่อยๆ อ่อนแรงลง

กลไกการเข้าถึงอำนาจทางการเมืองด้วยการสอบ จึงเป็นยาสลายกำลังและฐานรากของอำนาจทางการเมืองชนิดเก่าไปในตัว

แน่นอนว่านี่คงไม่ใช่แค่ปัจจัยเดียว เพราะกลไกทางสังคมไม่เคยทำงานด้วยปัจจัยเดี่ยวๆ

แต่คำอธิบายข้างต้น คงพอจะทำให้เห็นการทำงานของปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ดุลอำนาจเปลี่ยนแปลง

กลไกทางสังคมเป็นเรื่องที่มีปัจจัยซับซ้อน ที่จริงแล้วเมื่อราชสำนักออกแบบระบบเคอจวี่ก็คงไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลพลอยได้เช่นนี้

โลกของกลไกสังคมซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จึงบอกผลได้ด้วยการทดลองจริง และแน่นอนว่าในการทดลองจริง มักมีผลจากปัจจัยอื่นที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย

ใครๆ ก็วิเคราะห์ได้ แต่จะคาดเดาให้ใกล้เคียงนั้นไม่ง่ายเลย

ข่าวล่าสุด

บวท. ยกระดับความพร้อมรับปีใหม่ 2569 คาดเที่ยวบินพุ่ง 2.7 หมื่นเที่ยว