กลไกสลายอำนาจ-ด้วยสนามสอบเคอจวี่
หลังจากยุคสามก๊กรวมเป็นหนึ่งในราชวงศ์จิ้นเป็นต้นไป
หลังจากยุคสามก๊กรวมเป็นหนึ่งในราชวงศ์จิ้นเป็นต้นไป จีนก็ยังต้องวุ่นวายอยู่กับบ้านเมืองที่ปักหลักมั่นไม่ได้อยู่พักโต
สามก๊กหน้าสุดท้ายจึงไม่ได้บอกว่าจีนจะ “เป็นสุขหลังเป็นศึก”
หากใครหวังว่านิยายการเมืองในประวัติศาสตร์จริงจะจบด้วยความแฮปปี้เอนดิ้งคงต้องผิดหวัง เพราะช่วงสุขนั้นแสนสั้นกว่าที่คิด
เพราะยุคต่อมาในช่วงราชวงศ์จิ้นตะวันตก จิ้นตะวันออก จนถึงราชวงศ์เหนือ-ใต้ จีนยังต้องพบกับความวุ่นวายอีกกว่า 350 ปี จึงค่อยก้าวสู่ยุคราชวงศ์ถังอันรุ่งเรือง
ในทางวิชาการจึงมักเรียกรวมราชวงศ์เว่ย (วุยก๊กของโจผี) จิ้น ราชวงศ์เหนือ-ใต้ (魏晋南北朝) เป็นซีรี่ส์เดียวกัน เพราะสภาพบ้านเมืองช่วงนั้นยังไม่ค่อยคงตัว แม้ราชสำนักจะผลัดใบเปลี่ยนขวดเปลี่ยนขั้ว แต่รสชาติความวุ่นวายยังเป็นเหล้าเดิมที่หมักนานขึ้นอีกหน่อย
ปัจจัยหนึ่งของความวุ่นวายช่วงนั้น เกิดจากดุลอำนาจของตระกูลขุนนางในท้องถิ่นเข้มแข็งกว่ายุคอื่นใด
พูดแบบนี้อาจไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไร แต่ถ้ายกตัวอย่างเหตุการณ์ตระกูลซือหม่า (นำโดยสุมาอี้) ที่จู่ๆ ก็สามารถเทกโอเวอร์รัฐประหารแผ่นดินราชวงศ์เว่ย (ที่บุกเบิกโดยโจโฉ) ได้อย่างง่ายดาย คงเข้าใจง่ายขึ้นเป็นกอง
สถานการณ์คล้ายๆ กันนี้ยังเกิดขึ้นบ่อยตั้งแต่ยุคราชวงศ์จิ้นถึงยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้
อันที่จริงตระกูลขุนนางส่วนใหญ่ไม่ได้มีความทะเยอทะยานมากมาย ตราบใดที่นโยบายของราชสำนักไม่คุกคามตระกูลของตน ก็ย่อมยอมร่วมมือเป็นอย่างดี
แต่หากความไม่ไว้ใจกันเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ละฝ่ายก็มักหาเหตุชิงลงมือก่อนเสมอ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลและบารมีที่ตระกูลขุนนางมีนั้นสูสีกับฮ่องเต้
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบ่อยในยุคนี้ จึงเกิดจากศึกภายใน
แต่น่าแปลกที่ว่าพอถึงราชวงศ์ถัง (หลังยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้) เป็นต้นไป ปรากฏการณ์ตระกูลขุนนางในท้องถิ่นที่แข็งข้อกับราชสำนักในหน้าประวัติศาสตร์ก็ค่อยๆ เบาบางลง
คำอธิบายส่วนใหญ่มักบอกว่า นี่เป็นผลมาจากการเริ่มใช้ระบบคัดเลือกขุนนางจากการสอบที่เรียกว่า “ระบบสอบเคอจวี่” (ไทยมักเรียกผิดว่าสอบจอหงวน-ที่จริงคำว่า “จอหงวน” เป็นเพียงชื่อตำแหน่งคนที่สอบได้อันดับหนึ่งในสำเนียงแต้จิ๋วเท่านั้น)
ต้องเกริ่นหน่อยว่า ก่อนหน้าที่จะใช้การสอบเคอจวี่หาขุนนาง ราชสำนักมีวิธีหาคนมาทำงาน ด้วยการให้ขุนนางเดิมแนะนำขุนนางใหม่ โดยไม่ต้องสอบแข่งขันกัน
ซึ่งก็ลงท้ายด้วยการสั่งสมบารมีกันภายในตระกูลขุนนางเดิม...
ไม่แนะนำญาติพี่น้องให้ร่วมกันเป็นใหญ่ แล้วจะแนะนำใคร... จริงไหมล่ะ
ตระกูลขุนนางจึงยิ่งขยายใหญ่ และเมื่อยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งพากันนำคนของตนเข้าไปสร้างอิทธิพลในราชสำนักได้มากขึ้น
ด้วยระบบนี้ ฮ่องเต้จึงทำได้แต่การหาสมดุลจากมุ้งตระกูลที่แตกต่างกัน แต่การเกี้ยเซี้ยระหว่างตระกูลขุนนางใหญ่นอกวังและการขยายอิทธิพลขึ้นในทุกตระกูลก็ไม่เคยหยุดได้สักที
แต่แล้วการสอบเคอจวี่ก็ปฏิสนธิขึ้นในช่วงยุคราชวงศ์สุยอันแสนสั้นและถูกราชสำนักถังปรับใช้ต่อมา
แล้วระบบสอบเคอจวี่ซึ่งเป็นเพียงระบบคัดเลือกขุนนาง จะทำให้ตระกูลขุนนางใหญ่ในแต่ละท้องถิ่นอ่อนแอลงได้อย่างไร?
หากคิดชั้นเดียวก็มักอธิบายว่า... การสอบเคอจวี่ทำให้มีปริมาณชาวบ้านที่ตั้งใจเล่าเรียนเข้ามาเจือปนแบ่งในอำนาจแห่งราชสำนัก ลดสัดส่วนการสั่งสมบารมีของตระกูลขุนนางให้จางลง
แม้ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล แต่ชีวิตชาวบ้านที่ไม่มีตระกูลใหญ่หนุนหลังย่อมไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน (หรือถ้ามันเป็นไปตามกลไกง่ายๆ เช่นนั้นจริง มีหรือตระกูลขุนนางจะอยู่นิ่งๆ ให้เจือจาง)
เพราะว่าทุกการสอบต้องเอาชนะกันด้วยการกวดขันร่ำเรียน ที่ต้องใช้ทรัพยากรเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะการเงินหรือด้านระยะเวลา
การศึกษาในยุคนั้นยังมีต้นทุนแสนแพง โดยเฉพาะในยุคที่กระทรวงศึกษาฯ ของราชวงศ์ถังยังไม่ได้มีซีดีที่ก๊อบปี้แจกให้ชาวบ้านได้เรียนทางไกล
และถึงแม้ยุคราชวงศ์ถังจะเกิดเทคนิคการพิมพ์หนังสือแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้กับคัมภีร์ทางพุทธศาสนา มิได้ใช้กับตำราติวสอบเคอจวี่
ตำรายุคนั้นจึงจัดเป็นงานคราฟต์พันธุ์แท้ เพราะคัดลอกด้วยลายมือ กำลังการผลิตไม่มาก ราคาไม่ย่อมเยา
ไหนชาวบ้านยังจะต้องดูแลไร่นาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ใช่จะหาเวลาเล่าเรียนท่องตำราได้ง่ายๆ โอกาสสอบได้จึงน้อยนิด แม้จะอยู่ภายใต้ยุคที่ได้ชื่อว่า มีโอกาสเป็นขุนนางได้อย่าง “เท่าเทียม”
ความแตกต่างราวฟ้ากับเหวของต้นทุนการสอบเคอจวี่ ระหว่างลูกหลานตระกูลใหญ่กับลูกหลานชาวบ้านสะท้อนออกมาทางสถิติ
ตลอดราชวงศ์ถังมีเสนาบดี 400 กว่าคน ทั้งนี้มาจากระบบการสอบเคอจวี่เพียงครึ่งหนึ่ง และในครึ่งหนึ่งนั้นมาจากชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลใหญ่ประมาณ 50 คน
เป็นจำนวนเพียงแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์
ในขณะที่ลำพังตระกูลขุนนางเช่นตระกูลชุยเพียงตระกูลเดียว นั้นกลับมีชื่ออยู่ในตำแหน่งเสนาบดีปาเข้าไปถึง 32 คน
เช่นนี้แล้ว ขุนนางเลือดสามัญชนจะไปเจือจางตระกูลใหญ่ได้อย่างไร
แต่อย่าเพิ่งรีบสรุปไป แม้ขุนนางชาวบ้านจะเข้ามาเจือจางไม่ได้ แต่การสั่งสมอิทธิพลของตระกูลขุนนางในท้องถิ่นกลับลดลง
เพราะแม้การสอบเคอจวี่ยุคราชวงศ์ถังจะเอาชาวบ้านเข้าไปเป็นขุนนางจำนวนมากไม่ได้ แต่มันกลับสร้างกลไกใหม่ที่ทำให้อำนาจของตระกูลขุนนางใหญ่ในท้องถิ่นค่อยๆ สลายตัวเอง
เพราะระบบการสอบเคอจวี่สร้างเส้นทางการเข้ารวมกับอำนาจส่วนกลางขึ้นมาใหม่ โดยเส้นทางใหม่นี้มีจุดขายอยู่ที่ “ต้นทุน”
ไม่ว่าคนในตระกูลขุนนางหรือชาวบ้าน หากอยากเป็นขุนนาง ก็แค่สอบกันเข้ามาเท่านั้น
จากเดิมที่ตระกูลขุนนางในแต่ละท้องถิ่นจะสั่งสมบารมีได้ ต้องมีทั้งที่ดิน ทั้งกำลังคน กำลังทรัพย์ และยังต้องคอยสร้างคอนเนกชั่นทั้งกับตระกูลอื่นภายในท้องถิ่นและกับราชสำนักไว้
ซึ่งจะว่าไปแล้วการลงทุนข้างต้นนับว่าใช้ต้นทุนสูงและซับซ้อน
แต่ระบบสอบเคอจวี่กลับให้ทางลัดที่ว่องไว แม้จะต้องสอบแข่งขันกันกับผู้คนมากมาย แต่ด้วยทรัพยากรที่ได้เปรียบชาวบ้าน เพียงแค่การลงทุนไปกับเวลาอ่านหนังสือ หรือแค่จ้างเหล่าซือมาติว ก็สามารถเข้าร่วมระบบการปกครองกับราชสำนักได้ไม่ต่างจากเดิม
การสอบเคอจวี่จึงมีต้นทุนที่ถูกกว่าการสั่งสมบารมีในท้องถิ่นแบบเดิมๆ แยะเลย แล้วใครจะไม่เลือก
แต่ในทางเลือกที่ง่าย ก็มีสิ่งที่ต้องจ่ายตอบแทน
เพราะเมื่อราชวงศ์ถังใช้ระบบสอบเคอจวี่นานไป ตระกูลใหญ่ในท้องถิ่นทั้งหลายก็เริ่มลด ละ เลิก ลงทุนในกลไกที่สร้างอำนาจในท้องถิ่นดั้งเดิมของตน
จากการค่อยๆ สั่งสมความเป็นใหญ่ในท้องถิ่น ก็เปลี่ยนไปเป็นสมัครใจใช้ทางลัดมุ่งสู่เมืองฉางอัน (เมืองหลวงของราชวงศ์ถัง) เพื่อมาสอบเคอจวี่แทน
ตระกูลที่เคยรักษาฐานอำนาจในท้องถิ่นอย่างเหนียวแน่น ก็ย้ายฐานมารวมตัวสร้างอิทธิพลแข่งกันที่ฉางอานมากขึ้นทุกที
ปะเหมาะกับวิกฤตในปี ค.ศ. 905 ที่จูเวิน (ภายหลังสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้แห่งราชวงศ์โฮ่วเหลียงในยุค 5 ราชวงศ์) บุกโจมตีฉางอัน และสังหารขุนนางตระกูลใหญ่ 30 ตระกูลในคราเดียว จึงทำให้เกิดยุคตกต่ำของตระกูลขุนนางท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ผลข้างเคียงเช่นนี้เองที่ทำให้กติกาการเข้าถึงอำนาจรูปแบบใหม่ ทำลายอิทธิพลท้องถิ่นให้ค่อยๆ อ่อนแรงลง
กลไกการเข้าถึงอำนาจทางการเมืองด้วยการสอบ จึงเป็นยาสลายกำลังและฐานรากของอำนาจทางการเมืองชนิดเก่าไปในตัว
แน่นอนว่านี่คงไม่ใช่แค่ปัจจัยเดียว เพราะกลไกทางสังคมไม่เคยทำงานด้วยปัจจัยเดี่ยวๆ
แต่คำอธิบายข้างต้น คงพอจะทำให้เห็นการทำงานของปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ดุลอำนาจเปลี่ยนแปลง
กลไกทางสังคมเป็นเรื่องที่มีปัจจัยซับซ้อน ที่จริงแล้วเมื่อราชสำนักออกแบบระบบเคอจวี่ก็คงไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลพลอยได้เช่นนี้
โลกของกลไกสังคมซึ่งจะส่งผลในระยะยาว จึงบอกผลได้ด้วยการทดลองจริง และแน่นอนว่าในการทดลองจริง มักมีผลจากปัจจัยอื่นที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย
ใครๆ ก็วิเคราะห์ได้ แต่จะคาดเดาให้ใกล้เคียงนั้นไม่ง่ายเลย


