ความเกียจคร้าน คือประตูสู่ความเสื่อมในชีวิต
มีใครมีความรู้สึกเหมือนหมอบ้างไหม?
โดย นสพ.ชัยวลัญช์ ตุนาค เจ้าของเพจ Dr.Dang Can Do ภาพ : เอเอฟพี
มีใครมีความรู้สึกเหมือนหมอบ้างไหม? ครับว่า หน้าหนาวมันทำให้ตอนตื่นนอนรู้สึกว่าหนังตามันหนักมาก ลืมตาตื่นนอนยากมากๆ เหมือนมีอะไรมาถ่วงหนังตาไว้ ไม่เหมือนฤดูร้อนหรือฤดูฝน ที่พอรู้สึกตัวปั๊บจะกระเด้งตัวตื่นจากที่นอนได้ทันที
เมื่อก่อนก็ไม่เคยสังเกตหรอกครับ ว่าหน้าไหนที่รู้สึกแบบนี้ พอคราวนี้ลองสังเกต ดูเออจริงด้วย หน้าหนาวนี้ขี้เกียจลุกจากที่นอนที่สุด แต่พอตัดใจลุกขึ้นมาแปรงฟัน อาบน้ำ
หน้าตาก็ดูสดชื่นขึ้น อาการตาปิดๆ หายไปแบบไร้ร่องรอย ความสดชื่นกลับมาแทนที่และพร้อมที่จะออกไปผจญกับโลกภายนอกได้อย่างสบายๆ
เอาเป็นว่าคนเราก็มีความเกียจคร้าน อยู่ในตัวกันทุกคน คนเรามักชอบความสบาย และเสพติดความสบายอย่างไม่รู้ตัว บางคนใช้เวลานอนเยอะมาก เยอะจนขี้เกียจจะไปเรียน จะไปทำงานหรือหางานทำ ส่วนเงินทองก็อาศัยพ่อแม่ หรือหยิบยืมคนอื่นๆ ตามแต่จะหาได้
หมออยากบอกว่า ที่จริงแล้วการทำงานคือการที่บอกว่าเรายังมีคุณค่าต่อตัวเอง ต่อสังคม เป็นการแสดงตัวตนออกมาที่ดีที่สุด ใครที่ขี้เกียจทำงาน วันๆ เอาแต่นอนเล่นเที่ยวเตร็ดเตร่ พอนานๆ เข้า จะป่วยง่าย เป็นโน่นเป็นนี่ไปเรื่อยๆ
พระท่านกล่าวไว้ว่า ความเกียจคร้านเป็นหนึ่งในอบายมุข 6 อย่าง (อบายมุขคือปากทางแห่งความเสื่อม) ดังนั้น ผู้ใดเกียจคร้านเท่ากับว่าผู้นั้นได้ยืนอยู่ตรง “ปากประตูแห่งความเสื่อม” แล้วนั่นเอง
อบายมุขทั้ง 6 มีอะไรบ้าง
ได้แก่ การคบคนชั่วเป็นมิตร เล่นการพนัน เจ้าชู้ เที่ยวกลางคืน นักเลงสุรา และการเกียจคร้าน ซึ่งความหมายของคำว่า “เกียจคร้าน” ได้รวมไปถึงความขี้เกียจ หลีกเลี่ยงงาน และไม่อยากทำงานด้วย
และตามที่พุทธศาสนาได้บอกไว้ว่า “ความเกียจคร้าน” คือ “หลุมฝังศพของคนเป็น” กล่าวคือคนที่เกียจคร้านถึงจะมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนคนที่ตายแล้วกล่าวคือ จะมีแต่ความล้มเหลวจะเอาดีในชีวิต และหน้าที่การงานไม่ได้เลย
ดังนั้น บุคคลผู้เกียจคร้านจึงหมดค่า เป็นที่น่ารังเกียจ เป็นเสนียดของสังคม ดังคำคมเป็นต้นที่ว่า “ไม้เช็ดก้นดีกว่าคนขี้เกียจ คนขี้เกียจเป็นเสนียดสังคม ขี้เกียจเป็นแมลงวัน ขยันเป็นแมลงผึ้ง” 555 อันนี้หมอลอกเค้ามานะครับ
สำหรับลักษณะของคนเกียจคร้าน ตามทรรศนะทางพระพุทธศาสนานั้นมี 5 ประการ ดังนี้
1.เกียจคร้าน (กุสีตะ) คือ หนักไม่เอา เบาไม่สู้ เช่น ได้รับมอบหมายหน้าที่ การงานใดแล้ว ก็ปล่อยปละละเลย ไม่ทำหน้าที่การงานนั้น จนเกิดผลเสียหายแก่หน้าที่ การงาน
2.ประพฤติทุจริต (ทุจจริตะ) คือ ประพฤติเสีย สร้างเหตุไม่ดี แต่อยากได้รับผลดีเหมือนคนอื่น
3.ทำงานย่อหย่อน (สิถิละ) คือ ทำอะไรก็ทำเล่นๆ ไม่ทำจริงๆ แต่อยากได้รับผลสำเร็จ
4.ทำงานคั่งค้างอากูล (อากุละ) คือ ชอบผัดวันประกันพรุ่ง อ้างโน่น อ้างนี่ แล้วไม่ทำงาน
พระท่านได้สอนไว้เช่นนี้ เพราะรู้ว่า...โดยธรรมชาติของคนเรามักจะเกียจคร้านอยู่แล้ว ยิ่งถ้ารู้ว่า ไม่ทำงานแต่ยังมีข้าวกิน ยังไงก็เกียจคร้าน
แต่อย่าลืมนะครับว่า ที่เราทำงานทุกวันนี้ เราทำเผื่ออนาคตด้วยนะ ไม่ใช่ทำมาหากินพอแค่ปัจจุบัน อย่างนี้ไม่เพียงพอ หรอกครับ อย่าเอาคำว่า “เพียงพอ” มาทำตัวให้ขี้เกียจสันหลังยาว เสียคำเค้าหมด 555
หมอชอบมากเลยคำพังเพยที่ว่า “ขี้เกียจเป็นแมลงวัน ขยันเป็นแมลงผึ้ง” อยากเป็นแมลงวันตอมขี้ หรือเป็นผึ้งตอมดอกไม้หอมๆ ก็เลือกได้ครับ
ตามสบาย...อย่ามาหาว่าหมอไม่เตือนก็แล้วกัน 555


