posttoday

จอหงวนธิปไตย

13 มกราคม 2562

นับแต่โบราณมา ในฐานะอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่

นับแต่โบราณมา ในฐานะอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ จีนต้องคอยตอบคำถามๆ หนึ่งเสมอ นั่นคือจะหาและให้คนที่มีความสามารถมาช่วยทำงานและขับเคลื่อนอาณาจักรได้อย่างไร

หากใครคุ้นเคยกับหนังจีนคงตอบได้ ก็คือให้คนทั้งแผ่นดินมีโอกาสมาสอบเป็นขุนนาง...

ถูกเผงเลย!

ในไทยมักเรียกติดปากการสอบนี้ว่าสอบจอหงวน แต่ที่ถูกต้องควรเรียกว่าสอบเคอจวี่ หรือสอบจิ้นซื่อ เคอจวี่เป็นชื่อระบบการสอบ ส่วนจิ้นซื่อเป็นชื่อตำแหน่งของผู้สอบผ่าน ส่วนคำว่าจอหงวน (สำเนียงแต้จิ๋ว) เป็นชื่อตำแหน่งของผู้ที่สอบได้ที่ 1ของการสอบเท่านั้น

ทีนี้หลังจากสอบระดับตำบล อำเภอ และประเทศเสร็จก็จะเป็นวิธีการเลือกบรรดาจิ้นซื่อ หากปีนั้นต้องการขุนนางสักห้าสิบคน ก็ควรนำเอารายชื่อผู้สอบได้ห้าสิบอันดับแรกมาเป็นจิ้นซื่อ เท่านี้ก็จะได้ผู้มีความสามารถสูงสุดของทั้งประเทศในปีนั้นเข้ามาทำงานให้แผ่นดิน

แต่กลับไม่ใช่! ส่วนใหญ่จีนกลับมิได้ใช้วิธีนี้

เรื่องนี้มันซับซ้อนกว่านั้นอีกนิด และมีประเด็นมากกว่าการคัดคนที่มีความสามารถอันดับต้นของประเทศมาใช้งาน

โดยแทนที่จะพิจารณาจากผู้ที่มีความสามารถสูงสุดทั่วประเทศ กลุ่มจิ้นซื่อจะมาจากคนที่มีความสามารถสูงสุดตามโควตาของแต่ละท้องถิ่น ส่วนโควตาจะแบ่งอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับยุคสมัย

อันที่จริง เรื่องโควตาท้องถิ่นนี้มีมานานมาก ตั้งแต่ก่อนจีนจะคิดค้นการสอบจิ้นซื่อขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ

เช่น ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้ฮั่นหวู่ตี้ (ครองราชย์เมื่อ 141-87 ปีก่อน ค.ศ.) ใช้ระบบแนะนำขุนนาง (推举) โดยให้ขุนนางท้องถิ่นแนะนำคนที่มีความสามารถในท้องที่ให้แก่ราชสำนัก โดยพระองค์กำหนดเงื่อนไขว่า แต่ละอำเภอ (郡) ต้องเสนอชื่อมาหนึ่งคน

แต่ในบางอำเภอ ขุนนางที่ประจำอยู่ไม่รู้จะแนะนำใคร ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่เห็นใครได้มาตรฐาน แต่ฮั่นหวู่ตี้กลับรับสั่งในกรณีนี้ว่า “ขุนนาง (ที่ไม่สามารถแนะนำใครมาให้ราชสำนักได้) แบบนี้ควรไล่ออกให้หมด”

แน่ะ! มีมาตรฐานนี่ผิดตรงไหน

ต่อมาพระองค์ยังตั้งเงื่อนไขใหม่ ให้จำนวนคนที่ควรถูกแนะนำแก่ราชสำนักขึ้นอยู่กับสัดส่วนของประชากรในแต่ละอำเภอ

ประชากรในอำเภอมาก เลยต้องแนะนำคนให้มากขึ้นตามตัว

ดูไปดูมา หรือว่าฮั่นหวู่ตี้จะเชื่อในค่าเฉลี่ยความเก่งกาจของคน เช่น ในทุกๆ พันคนหมื่นคน มันต้องมีคนเก่งแฝงสักคนในทุกอำเภอ...ยิ่งคิดยิ่งน่าแปลกใจ

ในเมื่อเป็นการคัดเลือกคนที่มีความสามารถ ก็ควรเลือกที่ได้มาตรฐาน ถ้าไร้สามารถก็ไม่ควรถูกแนะนำ แล้วเหตุใดจึงใช้สัดส่วนประชากรของท้องที่มากำหนด

เพราะในความเป็นจริง เมื่อแต่ละท้องที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่าง การศึกษาของคนแต่ละแหล่งย่อมได้เปรียบเสียเปรียบกันบ้างเป็นธรรมดา

บังคับสัดส่วนกัน นอกจากฝืนให้ได้คนที่คุณสมบัติไม่ดีพอมาเป็นขุนนาง ยังทำให้คนเก่งที่อยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง (อยู่ในที่ที่คนเก่งอยู่หนาแน่นมากๆ) ถูกละเลยไป

แต่จริงๆ แล้ว คำอธิบายไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับคนสมัยนี้หรือสมัยไหน นั่นเป็นเพราะการหาขุนนางแฝงไว้ซึ่งประเด็นทางการเมือง

และเพราะว่าการเมืองระดับอาณาจักร คือ เรื่องของอำนาจและเรื่องของตัวแทน ขุนนางที่จะเข้าไปมีอำนาจในบ้านเมือง จึงไม่เคยเป็นเรื่องของความสามารถเพียงอย่างเดียว

โอกาสการรับใช้ชาติ หรือในอีกแง่หนึ่งคือ การเข้าไปมีส่วนร่วมในอำนาจบริหาร จึงยังต้องพิจารณาเรื่องการกระจายโอกาสและความทั่วถึง

หากขุนนางในราชสำนักเป็นคนของเมืองใดเมืองหนึ่งมากเกินไป ในสายตาของคนนอกพื้นที่ ย่อมรู้สึกไม่สมดุล จนแอบคิดดังๆ ได้ว่า “มันไม่แฟร์”

แม้จีนโบราณไม่มีประชาธิปไตย แต่ก็มีกลิ่นอายของการเมืองแบบตัวแทนแฝงในมุมนี้ และฮ่องเต้ส่วนใหญ่ก็รู้ดี ไม่ใช่ว่าฮั่นหวู่ตี้คิดไปเอง

เช่น ในสมัยที่จูหยวนจาง ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิงขึ้นครองราชย์ได้ 30 ปี(ค.ศ. 1397) ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นบทพิสูจน์เหตุผลนี้มาแล้ว

เรื่องมีอยู่ว่า ในปีนั้นผู้สอบได้จิ้นซื่อมีแต่คนทางใต้ของแผ่นดินจีน ขุนนางชาวเหนือจึงประท้วง บ้างก็โวยว่ามีการทุจริตบ้างก็โวยว่าขุนนางในราชสำนักซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวใต้เหยียดภาค

เดือดร้อนถึงจูหยวนจางต้องสั่งการให้สืบสวน แต่ก็พบว่าทุกอย่างโปร่งใส ก็ในเมื่อทางใต้บ้านเมืองสงบกว่า เศรษฐกิจดีกว่า ย่อมได้เปรียบทางการศึกษากว่าเป็นธรรมดา

แต่ขุนนางชาวเหนือยังงอแง จูหยวนจางเลยสั่งกรรมการคุมสอบให้หยวนๆ ไป โดยให้คัดชื่อชาวใต้ออกแล้วเอาชาวเหนือเข้าไปแทรกตามสมควร

ขุนนางชาวใต้ที่ไหนจะยินยอม และที่ไม่ยอมก็ไม่ใช่เพื่อพวกพ้อง แต่เพราะมันไม่ถูกต้อง ต่อหน้าข้อสอบทุกคนควรเท่าเทียมกัน ขุนนางฝ่ายใต้จึงเริ่มก่อหวอดเหมือนกัน

เมื่อไม่มีใครยอมจบ จูหยวนจางจึงลุกขึ้นฟันธงและฟันคอเอง

พระองค์สั่งลงโทษกรรมการคุมสอบที่ไม่ยอมหยวน (เนรเทศบ้าง ประหารบ้าง) แล้วจัดสอบครั้งใหม่ คราวนี้จูหยวนจางลงมาคุมเองคัดเอง ผลคือรายชื่อจิ้นซื่อครั้งนี้ทั้งหมดล้วนเป็นชาวเหนือ

มองผิวเผินเหมือนโหดร้าย อยุติธรรม เอาแต่ใจ แต่มองให้ถึงเนื้อแท้ข้างใน นี่ก็คือเรื่องการเมืองที่จูหยวนจางเลือกไม่ได้

จูหยวนจางนับว่าเป็นคนจากแดนใต้ซึ่งรบขึ้นไปรวบรวมแดนเหนือ จึงต้องแสดงให้ชาวเหนือได้เห็นว่าตนไม่ได้เข้าข้างพวกตัวเอง เพื่อความสงบของแผ่นดิน

จนต่อมาในปี ค.ศ. 1425 ฮ่องเต้หมิงเหยินจง จึงมีนโยบายแบ่งโควตาจิ้นซื่อจากแดนใต้แดนเหนือเป็นอัตราส่วนตายตัว ความวุ่นวายทั้งหมดจึงไม่เกิดขึ้นอีก

ต่อมา ในยุคราชวงศ์ชิง ระบบโควตาละเอียดขึ้น โดยเจาะจงลงไปในรายละเอียดตามจำนวนประชากรในแต่ละมณฑล

ระบบขุนนางจีนจึงเป็นเรื่องการเมืองเคลือบชั้นเรื่องความสามารถ ในเมื่อประเทศจีนกว้างใหญ่มาก การทำให้ทุกท้องถิ่นเห็นโอกาสว่าฉันก็มีโอกาสเป็นขุนนางได้จึงไม่ใช่เรื่องที่ละเลยได้

และแม้กระทั่งทุกวันนี้ การสอบเอนทรานซ์ในจีนก็ใช้ชุดข้อสอบในแต่ละท้องถิ่นที่มีความยากง่ายแตกต่างกัน ดูผิวเผินคืออาจเห็นแต่ความไม่ยุติธรรม แต่เหตุผลที่เคลือบชั้นอยู่เบื้องหลังก็ไม่ได้ต่างกันนักกับเหตุผลของระบบโควตาของจิ้นซื่อ

ความรู้สึกด้านการเมืองของผู้คน ก็คือ ความรู้สึกว่ามีโอกาสมีส่วนร่วม และโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจ ไม่ว่าจะในนามของท้องถิ่น ชนชั้น หรือสาขาอาชีพก็ดี หากขาดในจุดนี้ บ้านเมืองย่อมระส่ำได้โดยง่าย

ใครที่คุมอาณาจักรใหญ่ ต้องเข้าใจประเด็นนี้ให้ดี... ซึ่งขนาดผู้นำจีนโบราณที่ยังไม่มีประชาธิปไตยยังรู้เลย

ข่าวล่าสุด

“รูบิโอ” ตอบสื่อสหรัฐ หวังไทย-กัมพูชา หยุดยิงภายในวันอังคาร