ว่าด้วยภิกษุณีทิเบต กับการรื้อฟื้นที่ละมุนละม่อม
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าพุทธศาสนาแบบทิเบตไม่เคร่งครัดในวินัย
โดย กรกิจ ดิษฐาน
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าพุทธศาสนาแบบทิเบตไม่เคร่งครัดในวินัย หย่อนยานในสิกขาบท แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ในทิเบตมีนิกายมากมาย ต่างก็ถือวัตรต่างกันไปตาม “สถานะ” ของผู้ปฏิบัติ ผู้ที่เป็นอาจารย์กึ่งพรตกึ่งคฤหัสถ์ก็มี ที่เป็นภิกษุก็มีและมากกว่า
พุทธศาสนาในทิเบตเคยถูกกวาดล้างมาครั้งหนึ่งในช่วงปี 1040 ต่อมาพระอตีศะและภิกษุวินัยฝ่ายตะวันออก ช่วยกันรื้อฟื้นการอุปสมบทที่ถูกต้องขึ้นมาใหม่
พระอตีศะท่านมาจากเบงกอลเป็นผู้รื้อฟื้นพุทธธรรมในทิเบตและเริ่มนิกายสักยะ ถือการอุปสมบทแบบนิกายโลกโตตระวาท
พระภิกษุทิเบตฝ่ายตะวันออก หนีการกวาดล้างไปยังแคว้นอัมโดทางตะวันออกใกล้กับจีน ถือวินัยแบบนิกายมูลสรวาสติวาท
เดิมนั้นชาวพุทธในทิเบตถือวินัยแบบนิกายมูลสรวาสติวาท ปัจจุบันก็ยังถือแบบนั้น พระอตีศะมาจากนิกายโลกโตตระวาท จึงไม่แทรกแซงการอุปสมบทของคณะสงฆ์ท้องถิ่น ท่านเพียงรื้อฟื้นการศึกษาธรรมเท่านั้น
นิกายมูลสรวาสติวาทขาดการอุปสมบทพระภิกษุณีไปแล้ว ทิเบตจึงขาดภิกษุณีมาแต่โบราณ ทิเบตจึงมีแต่ “ชี” แต่ภูมิธรรมของแม่ชีเหล่านี้มิได้ธรรมดาเลย
“แม่ชี” หรืออุบาสิกาทิเบตที่ถือขนบการอวตารของครูบาอาจารย์มีอยู่หลายท่าน หนึ่งในนั้นคือ “เดเชนเชอจีเดินเม” (ภาษาจีนออกเสียงว่า เต๋อชิ่งชวีจี๋เจินเม่ย) ผู้สืบทอดตำแหน่งอวตารผู้บรรลุธรรม หรือ “ทุลกุ”แห่ง “ซัมดิง ดอร์เจ พักโม” ลำดับที่ 12 สถิต ณ วัดซัมดิงในทิเบต ทั้งนี้ตำแหน่ง ดอร์เจพักโม เป็นนิรมานกายของวัชรวราฮี ซึ่งเป็นนางเทวดาบุคลาธิษฐานองค์หนึ่งในนิกายวัชรยานของทิเบต ตำแหน่งนี้จะได้รับการอนุมัติจากองค์ดาไลลามะและจากฮองเฮาแห่งราชวงศ์ชิง ผิดกับตำแหน่งภิกษุหรือลามะชาย ที่จะได้รับการอนุมัติจากฮ่องเต้ต้าชิง
ดอร์เจ พักโม ต่างจาก “แม่ชี” ทิเบตท่านอื่นๆ ตรงที่สามารถไว้ผมยาวได้ แต่ท่านต้องถือเนสัชชิก คือจะไม่ล้มตัวลงนอน ถึงเวลาจำวัดจะนั่งสมาธิแล้วหลับไปในท่านั้นตลอดชีวิต
ตำแหน่ง ดอร์เจ พักโม ท่านแรก คือ เชอจี เดินมา ครองตำแหน่งในศตวรรษที่ 15 ว่ากันว่าท่านเป็นภิกษุณีที่ผ่านการอุปสมบทอย่างถูกต้องเพียงรูปเดียวในประวัติศาสตร์ทิเบต แต่เดิมศิษย์ท่านยังเป็นสามเณรี แต่ต่อมาทิเบตถูกกวาดล้างทางศาสนาดังที่กล่าวไป ทำให้สายภิกษุณีขาดสูญ แม้แต่สายการอุปสมบทภิกษุยังพลอยถูกทำลายไปด้วย
ในภายหลังเมื่อมีการรื้อฟื้นศาสนา จึงอาราธนาพระอาจารย์จากชมพูทวีปมาเริ่มสถาปนาสีมาอีกครั้ง แต่ไม่มีการรื้อฟื้นภิกษุณี ทำให้ทิเบตไม่มีภิกษุณี มีแต่ “แม่ชี” ส่วนผู้สืบทอดตำแหน่ง ว่ากันว่า ดอร์เจ พักโมเป็นภิกษุณีเช่นกัน แต่ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่ากระบวนการอุปสมบทเป็นเช่นไร ถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่
ในทิเบตโดยเฉพาะนิกายเกลุกปะแห่งองค์ดาไลลามะ ถือพระวินัยของนิกายมูลสรวาสติวาท ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับพระวินัยของนิกายเถรวาท ในส่วนของการอุปสมบทภิกษุณี ระบุว่า จะต้องทำโดยสงฆ์ทั้งสอง ฝ่าย คือ ภิกษุ 10 รูป ภิกษุณี 10 รูป ทั้งหมดต้องอยู่ในระดับพระเถระ/เถรี ปัญหาก็คือทิเบตขาดจากสายภิกษุณีมานานนับพันปีแล้ว (บางกรณีระบุว่าไม่เคยมีการสถาปนาสีมาสำหรับอุปสมบทภิกษุณีด้วยซ้ำ คาดว่าคงไปบวชที่ชมพูทวีป)
บางท่านเสนอว่าหากคิดจะรื้อฟื้นภิกษุณี อาจทำได้ด้วยการใช้พระเถระทิเบตที่ถือพระวินัยมูลสรวาสติวาท และพระเถรีที่ถือวินัยนิกายธรรมคุปต์ เพราะปัจจุบันนี้คณะสงฆ์เดียวที่ยังสืบทอดสายภิกษุณี คือ คณะสงฆ์ฝ่ายอุตรทิศในจีน เวียดนาม และเกาหลี ถือวินัยนิกายธรรมคุปต์
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทิเบตกังวลว่าการบวชโดยใช้สงฆ์ต่างนิกายกัน จะก่อให้เกิด “นานาสังวาส” ทำให้สังฆกรรมไม่บริสุทธิ์ หากมีผู้ยอมรับก็ดีไป แต่ผู้ไม่ยอมรับก็มีมิใช่น้อย กลายเป็นข้อครหารุนแรงอีก
ปัญหานี้เกิดขึ้นในศรีลังกาและไทยเช่นกัน แม้นพระวินัยของมูลสรวาสติวาท ธรรมคุปต์ และเถรวาทจะมีความใกล้เคียงกัน สามารถทำสังฆกรรมร่วมได้ไม่ยาก แต่ในทางปฏิบัติยังมีข้อปฏิบัติปลีกย่อย ความต่างด้านภาษา การตีความ และธรรมเนียมภูมิภาคที่แตกต่างกันมาก นี่เองที่เป็นปัญหาของนานาสังวาส
องค์ดาไลลามะทรงพยายามสนับสนุนการอุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณีและรื้อฟื้นธรรมเนียมนี้ในทิเบตมาโดยตลอด แต่ก็มิได้ทรงผลีผลาม ทรงมีพระดำรัสว่าประเด็นนี้จะให้พระองค์ตัดสินใจเพียงลำพังมิได้ ต้องหารือในระดับมหภาคร่วมกันของที่ประชุมสงฆ์ระดับโลก
แสดงให้เห็นว่าประเด็นนี้มีความซับซ้อนมาก แม้แต่องค์ประมุขของทิเบตเองก็ยังไม่อาจใช้อำนาจโดยชอบธรรมชี้ขาดได้ คาดว่าส่วนหนึ่งนั้นเพราะคณะสงฆ์มีมากมายหลายนิกาย และสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระวินัย จะแก้ไขเอาตามใจชอบไม่ได้


