พิศาล อัครเศรณี ผู้สร้างตำนาน ‘ตบจูบ’
เด็กรุ่นใหม่อาจไม่คุ้นชื่อของ “เปี๊ยก-พิศาล อัครเศรณี”
โดย นกขุนทอง
เด็กรุ่นใหม่อาจไม่คุ้นชื่อของ “เปี๊ยก-พิศาล อัครเศรณี” หากแต่ย้อนไปหลายสิบปีชื่อชั้นของ เปี๊ยก พิศาล ผลงานการกำกับภาพยนตร์ กำกับละคร และบทบาทนักแสดงในวันนั้นส่งผลให้วันนี้เขาถูกยกย่องเป็นบุคลากรในตำนานของวงการบันเทิงไทย
ในกาลนี้วงการบันเทิงได้สูญเสีย เปี๊ยก พิศาล ไปแล้ว เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2561 (กำหนดพิธีสวดอภิธรรมถึงวันที่ 11 ธ.ค. ที่ศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร)
“อุ้ย-เกรียงไกร อุณหะนันทน์” ได้รำลึกความหลังครั้งเป็นนักแสดงใหม่ และได้ผ่านการเคี่ยวกรำทักษะการแสดงจากผู้กำกับชื่อ พิศาล
“ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่เปี๊ยกหลายเรื่อง ก็มีลืมชื่อเรื่องไปบ้าง แต่ที่จำได้ไม่เคยลืมคือหนัง นางแมวป่า ผมเล่นคู่กับจารุณี สุขสวัสดิ์ ปี 2525
พี่เปี๊ยกคือผู้กำกับการแสดงคนที่ 2 ของผม ตอนนั้นผมใหม่กับการแสดง เท่าที่จำได้ มีฉากหนึ่งผมต้องแสดงความเจ็บปวดจากการถูกยิง ทำได้ไม่เป็นที่พอใจของพี่เปี๊ยก
พี่เปี๊ยกหาเทคนิคต่างมาใช้ๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไร พอถึงตอนถ่ายทำช่วงที่โคลสอัพหน้า พี่เปี๊ยกใช้วิธีหยิกที่น่องขวาผมแล้วบิดอย่างแรง โดยที่ผมไม่รู้ว่าแกจะทำ อาการเจ็บของผมออกมาจริงๆ เลย แทบน้ำตาไหล
ผู้กำกับสมัยก่อนใช้จิตวิทยาในการกำกับการแสดง เพราะนักแสดงอายุยังน้อย ประสบการณ์ในชีวิตเราน้อย เขาก็พยายามหว่านล้อม ดึงข้อมูลของเราออกมา
พี่เปี๊ยกพูดเพราะ มีอะไรเรียกมาคุย พูดเพราะนิ่มๆ แต่ดุอยู่ เท่าที่จำได้ นี่เกือบ 40 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นมา ผมเล่นละครเรื่องแรก ลายหงส์ มีผู้ชาย 4 คนเข้ามาในชีวิตนางเอก ผมกับพี่เปี๊ยกก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนแกเป็นผู้กำกับคุมทุกอย่าง เวลาเป็นนักแสดงไม่ก้าวก่ายในเรื่องการกำกับเลย รู้จักหน้าที่ของตัวเอง แยกออกให้เห็นเลย ท่องบทได้หมด
ตอนนั้น พี่ตู่-นพพล โกมารชุน กำกับเรื่องแรก แต่เรื่องการแสดงการกำกับพี่เปี๊ยกเรียกว่าเป็นตำนานอยู่แล้ว แต่แกให้เกียรติพี่ตู่ ผู้กำกับสั่งอะไรทำได้หมด ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้เรื่องความมีวินัย การศึกษาบท ในเรื่องของการพูด การตีความหมาย จากพี่เปี๊ยก”
“บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” อีกหนึ่งพระเอกรุ่นลูก ที่ถูกผู้ที่เขาเรียกว่า อาเปี๊ยก ตัดสายสะดือแจ้งเกิดในวงการละคร ได้เป็นพระเอกช่อง 3 ด้วยละครในตำนานตบจูบเมื่อปี 2552 ที่พิศาลเคยเล่นเป็นพระเอกหนังมาก่อนเมื่อปี 2527 และอีกเรื่องจากผู้กำกับคนเดิม สามหัวใจ ปี 2553
“ถึงผมจะผ่านงานมาบ้าง แต่เรื่องการแสดงยังใหม่มาก ช่วงแรกๆ ก่อนที่ผมจะได้เล่นละคร เรียนแอ็กติ้งที่ออฟฟิศอาอยู่กับอาตลอด เคยแบบเหมือนจะไม่ได้เล่นแล้ว แต่อาให้โอกาสผม ยืนยันว่าเป็นผมแม้ต้องรอนาน
ตั้งแต่ได้เล่นเรื่องนี้ผมอยู่กับอาตลอดทุกวันตั้งแต่เช้าจนเย็น จนเปิดกล้อง เสาร์-อาทิตย์ก็ยังต้องมาเรียนแอ็กติ้ง ตกเย็นไปนั่นนี่กันตลอด อาพาไปหลายที่ พาผมไปเซาน่า ไปนวด ไปกินข้าว ไปกองละคร ให้เรารู้ว่ากองละครเป็นยังไง
เล่าเรื่องอดีตที่เคยทำให้ฟัง แน่นอนว่าอาเปี๊ยกมีความสามารถรอบด้าน ประสบการณ์อาเปี๊ยกเยอะอยู่แล้ว ผมเองก็ได้เห็นว่าอามีวิธีการกำกับตัวแสดงแต่ละตัวต่างกันออกไป ของผมเองเรื่องไฟรักอสูร มีความดราม่าเยอะ ฉากร้องไห้เยอะ แล้วน้ำตาผมมายากมาก อามีวิธีให้ร้องไห้ได้ นอกจากทำให้เราอินกับตัวบท มีวิธีการเค้นความรู้สึกของเราออกมา
อาชีพนักแสดงผมเริ่มจากอาเลย ผมได้ซึมซับในสิ่งที่สอน ต้องขยัน ต้องตั้งใจ ไม่ใช่ตั้งใจโดยหน้าที่ แต่ต้องตั้งใจจริงๆ ด้วยความรักอยากให้งานออกมาดีจริงๆ ส่วนที่เหลือผมได้เรียนรู้เยอะ ชีวิตในวงการบันเทิง เวลาผมมีอะไรก็บอกความจริงกับอาทั้งหมด คุยได้ทุกเรื่อง เหมือนเป็นพ่อคนที่สองของผม”
พิศาล อัครเศรณี (2488-2561) เป็นทั้งผู้กำกับและนักแสดงที่ฝากผลงานไว้มากมาย แม้จุดเริ่มต้นไม่ได้มีความคิดอยากเป็นนักแสดงมาก่อนเลย เขาเคยสมัครขึ้นชกมวยอาชีพตามเวที เพื่อหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว
จุดเปลี่ยนในปี 2505 เข้าสู่วงการวิทยุ เป็นทั้งผู้ประกาศข่าว นักจัดรายการ นักพากย์สารคดี รวมทั้งเล่นละครวิทยุอีกหลายสิบเรื่อง ทั้งที่สถานีวิทยุ ททท. และสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม
พิศาลได้รับการชักชวนจาก ชาญยุทธ สระแก้ว นักเขียนบทละครเพลงโทรทัศน์ ให้มาเล่นละครโทรทัศน์เรื่อง “อัมพิกาเทวี” ช่วงต้นปี 2510 จึงเริ่มมีผลงานการแสดงหนัง อย่าง สายเลือดเดียวกัน (2512) เรือมนุษย์ (2513) แต่ส่วนใหญ่ยังคงปรากฏตัวอยู่ในจอแก้ว
เป็นหลัก
ได้เริ่มมีโอกาสกำกับหนังเป็นเรื่องแรกคือ วิวาห์เงินผ่อน ฉายในปี 2518 มีผลงานการแสดงหนังออกมามากกว่า 30 เรื่อง ในปี 2521-2530
บทบาทที่กลายเป็นภาพแทนของพิศาล สำหรับแฟนหนังไทย คือ บทพระเอกที่แสนโหดร้าย และมักปะทะคารมกับนางเอกด้วยวาจาดุเดือด ชอบโต้ตอบการตบตีของนางเอกด้วยการจูบ ทำให้ได้รับฉายาว่าพระเอกตบจูบ เช่นในเรื่อง มนต์รักอสูร (2521) เลือดทมิฬ (2522) ไฟรักอสูร (2527) หัวใจเถื่อน (2528) อุ้งมือมาร (2529) ฯลฯ ซึ่งเป็นบุคลิกที่ทำให้เขาแตกต่างจากพระเอกโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์อย่างเต็มตัว และมีผลงานออกมามากมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเป็นนักแสดง โดยมักร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ตนเองกำกับอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อวันที่ 20 ม.ย. 2556 หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้รับเกียรติจาก ผู้กำกับนักแสดงมากฝีมือ มาประทับรอยพิมพ์มือรอยพิมพ์เท้าเป็นดาวดวงที่ 139 ที่ ลานดารา หน้าโรงภาพยนตร์ศรีศาลายา
แม้ว่า พิศาล อัครเศรณี จะจากไปแล้ว แต่ผลงาน รวมทั้งตำนาน “ตบจูบ” ของเขายังคงถูกจดจำ และเล่าขาน


