กทม.เข้มจับปรับขั้นต่ำ 1,000 บาท ทางออกแก้ปัญหาขับขี่บนทางเท้า
ทุกวันนี้ประชาชนที่เดินสัญจรบนทางเท้าได้รับความเดือดร้อนจากปัญหารถจักรยานยนต์ขึ้นมาขับขี่อยู่บ่อยครั้ง
โดย นิติพันธุ์ สุขอรุณ
ทุกวันนี้ประชาชนที่เดินสัญจรบนทางเท้าได้รับความเดือดร้อนจากปัญหารถจักรยานยนต์ขึ้นมาขับขี่อยู่บ่อยครั้ง กระทั่งเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเด็กนักเรียนได้รับบาดเจ็บ พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นและพบเห็นได้ทุกแห่งทั่วกรุงเทพมหานคร แม้จะมีป้ายประกาศเตือนห้ามกระทำผิดกฎหมาย มีโทษจับปรับตามเส้นทางต่างๆ แต่ไม่อาจระงับจำนวนผู้กระทำผิดให้หมดไปได้
สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ปัญหาหนึ่งที่ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำผิดลดลงได้เกิดจากจิตสำนึกถึงส่วนรวมเป็นสำคัญ เนื่องจาก กทม.มีกฎหมายพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 บังคับใช้มาโดยตลอด ทว่าจากรายงานผลการดำเนินโครงการกวดขันรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จอดหรือขับขี่บนทางเท้า ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.-31 ต.ค. 2561 มีการจับกุมผู้กระทำความผิด 9,572 ราย ว่ากล่าวตักเตือน 3,250 ราย ดำเนินคดี 6,142 ราย อยู่ระหว่างดำเนินคดี 180 ราย รวมค่าปรับ 3.3 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 1-26 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการจับกุมผู้ฝ่าฝืนขับรถบนทางเท้าจำนวน 1,204 ราย ว่ากล่าวตักเตือน 195 ราย ดำเนินคดี 961 ราย อยู่ระหว่างดำเนินคดี 48 ราย รวมค่าปรับจำนวน 5.7 แสนบาท
สะท้อนว่ายังมีผู้กระทำความผิดฝ่าฝืนขับรถบนทางเท้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะใช้มาตรการรณรงค์ให้คนเห็นใจกัน เคารพสิทธิผู้อื่นแล้วก็ตาม เพราะกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจในแต่ละเขตไม่เพียงพอต่อการลงพื้นที่ตั้งโต๊ะจับปรับตลอดทั้งวันได้ เมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่อง ผู้กระทำผิดจะขับขี่ขึ้นมาบนทางเท้าทันที
สำหรับสาเหตุของปัญหารถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนขับขี่ขึ้นบนทางเท้า มีต้นตอมาจากสภาพการจราจรติดขัด ถนนแคบ อีกปัจจัยหนึ่งคือ จุดกลับรถอยู่ไกลจึงใช้วิธีขับขี่ย้อนศรบนทางเท้า จึงทำให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจหลีกเลี่ยงด้วยการขึ้นมาขับบนทางเท้า โดยเขตวังทองหลาง นับได้ว่าเป็นเขตที่พบการฝ่าฝืนมากที่สุด รองลงมาคือเขตสวนหลวงเขตลาดกระบัง และเขตวัฒนา ตามลำดับ
รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าการจับปรับเฉพาะหน้ามีปัญหาด้านกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจน้อย โดยในแต่ละเขตพื้นที่มีเจ้าหน้าที่เทศกิจ 50-60 คน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบหน้างานดูแลหลายเรื่อง อาทิ ร้านค้าหาบเร่แผงลอย ป้ายโฆษณาผิดกฎหมาย รวมถึงคอยอำนวยความสะดวกด้านหน้าโรงเรียน จึงทำให้การจับปรับรถจักรยานยนต์ขับขี่บนทางเท้าไม่ทั่วถึง ดังนั้นต่อจากนี้ได้ประสานกับทางตำรวจนครบาล เจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมสนธิกำลังช่วยกันตั้งจุดจับปรับทั้งหมด 233 จุด มีเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะประจำจุด และสุ่มตรวจเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ขณะที่ปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระหว่าง กทม.กับกรมการขนส่งทางบก ที่ผ่านมา กทม.มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในการรับภาพถ่ายและคลิปวิดีโอ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดของ กทม.เอง เพื่อส่งต่อเรื่องไปยังกรมการขนส่งทางบกให้ดำเนินการสืบค้นทะเบียนหาเจ้าของรถก่อนส่งจดหมายแจ้งปรับ ในแต่ละขั้นตอนต้องใช้ระยะเวลานาน
จึงมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมาย สำนักเทศกิจ ไปศึกษา ถึงข้อจำกัดและความเป็นไปได้ในการดำเนินการใช้ภาพจากกล้องวงจรปิดมาช่วยสอดส่อง จับกุมผู้ฝ่าฝืนขับรถบนทางเท้า โดยจับภาพผู้กระทำความผิดพร้อมทะเบียนรถแล้วจะส่งจดหมายปรับไปที่อยู่ผู้กระทำความผิดให้มาชำระค่าปรับ เหมือนกับที่ตำรวจจราจรทำอยู่ก็จะแก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาให้รวดเร็วได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม กทม.เตรียมใช้มาตรการเข้มงวดขึ้นอีกโดยเพิ่มโทษปรับ กำหนดอัตราค่าปรับขั้นต่ำจากเดิม 500 บาท เป็น 1,000 บาท และปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.เป็นต้นไป หากกรณีผู้กระทำความผิดไม่มีเงินชำระค่าปรับที่จุดเปรียบเทียบปรับ ให้เจ้าหน้าที่ออกใบอายัดรถไว้ แล้วนำรถซึ่งเป็นของกลางในการกระทำความผิดไปเก็บไว้ที่สำนักงานเขตก่อน เมื่อชำระค่าปรับแล้วจึงสามารถนำรถกลับไปได้
สกลธี ยืนยันว่า กทม.ไม่ได้มีจุดประสงค์มุ่งปรับเงินจากประชาชน เพราะเข้าใจประชาชนบางรายมีรายได้น้อย แต่เชื่อว่าการปรับในอัตราที่สูงจะทำให้คนไม่กล้าทำความผิด จำนวนการกระทำผิดน้อยลง หรือคนทำผิดไม่กล้าทำผิดซ้ำอีก
“ส่วนตัวผมเชื่อว่าถ้ามีการดำเนินการจับปรับเข้มงวด หรือปรับตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท จะทำให้คนที่คิดกระทำผิดไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมาย จึงไม่คุ้มกันที่จะถูกปรับเป็นเงินหลายพันบาท ต่อจากนี้เจ้าหน้าที่จะเข้มงวดไม่อะลุ้มอล่วยแล้ว เพราะปรับแค่ 200-300 บาท ไม่สามารถทำให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้าเกรงกลัวได้ หลังจากนี้ได้กำชับเทศกิจให้เข้มงวด ยืนยันว่าปรับ 1,000 บาทเป็นอย่างน้อย ถ้าไม่มีเงินชำระก็ต้องยึดรถ มาตรการเข้มงวดเท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้” สกลธี กล่าว


