ลูกปัดมโนราห์สวยเก๋ไก๋
หลายพื้นที่ของ จ.ตรัง โดยเฉพาะอ.นาโยง มีคณะมโนราห์
หลายพื้นที่ของ จ.ตรัง โดยเฉพาะอ.นาโยง มีคณะมโนราห์ หรือโนรา อยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งสืบทอดการแสดงพื้นบ้านดังกล่าวมาเป็นระยะเวลายาวนาน และมีการจัดตั้งโรงมโนราห์กลางที่ชื่อว่า “บ้านมโนราห์” ในพื้นที่ ต.โคกสะบ้า โดย “ราตรีหัสชัย” อดีตครูโรงเรียนวัดไทรทอง ดำรงตำแหน่งเป็นประธาน ในฐานะหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญของชุมชน ทั้งสอนการร่ายรำมโนราห์ และการแสดงลูกคู่ หรือนักดนตรีประจำคณะแล้ว
ล่าสุดยังได้นำเด็กๆ อายุตั้งแต่5-12 ปี ประมาณ 50 คน มาเรียนรู้เรื่องการร้อยลูกปัดมโนราห์ด้วย โดยประยุกต์จากการทำขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องแต่งกายในการแสดง หรือการร่ายรำ มาเป็นการทำขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกขายให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาคิ ตลอดทั้งส่งขายยังตลาดต่างประเทศ เพื่อให้สอดรับกับตลาดในยุคปัจจุบัน ลูกปัดมโนราห์ออกรูปแบบสวยงามแปลกตา และราคาถูก ปรากฏว่านำมาทำตลาดปีเดียวกระแสตอบรับอย่างมาก จนไม่สามารถผลิตสินค้าทันต่อความต้องการ
สำหรับวัสดุอุปกรณ์ในการร้อยลูกปัดมโนราห์จะประกอบไปด้วย ลูกปัดขนาดเล็กคละสี เชือกสายร่ม หรือสายร่มว่าว หรือเชือกไนลอน เบอร์ 9 หรือเชือกเส้นเล็ก รวมทั้งขี้ผึ้ง (แบบก้อน) ไม้กระดาน ตะปู และใบมีด ซึ่งล้วนแล้วแต่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ซึ่งลายลูกปัดที่ร้อยออกมาจะสวยหรือไม่ มีจุดสำคัญอยู่ที่การเลือกสีลูกปัด และการดึงเชือกให้แน่น ส่วนลายที่นิยมร้อยมักจะเป็นลายลูกแก้ว หรือลายข้าวหลามตัด แต่ถ้าเป็นลายกลีบดอกบัวหรือลายที่ต้องใช้ทักษะ ราคาก็จะสูงขึ้น โดยเฉลี่ยตั้งแต่ชิ้นละ 25-500 บาท
ราตรี บอกว่า เด็กๆ เหล่านี้จะร้อยลูกปัดมโนราห์ได้สวยงามเทียบเท่าผู้ใหญ่ ซึ่งบางคนก้าวไกลไปถึงขั้นร้อยออกมาเป็นเครื่องแต่งกายมโนราห์ ที่มีราคาสูงถึงหลักพันบาท แต่ที่ขายดีแบบเทน้ำเทท่าส่วนใหญ่จะเป็นพวงกุญแจ กำไล สร้อยข้อมือ สร้อยคอ เครื่องประดับ หรือของที่ระลึกต่างๆ โดยมีทั้งลายโบราณ หรือลายดั้งเดิม และลายที่ประยุกต์มาจากสื่อออนไลน์ ซึ่งจะขายดีมากครั้งละไม่ต่ำกว่า 4,000 บาท เมื่อมีคณะเดินทางมาศึกษาดูงานที่ “บ้านมโนราห์” หรือเที่ยวชม “ตลาดวันวานบ้านมโนราห์” ที่จัดขึ้นทุกวันอาทิตย์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเด็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการนี้จะมีเวลาว่างเฉพาะช่วงเย็นในวันปกติ หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และต้องใช้เวลาทำในแต่ละชิ้นไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง จึงยังร้อยลูกปัดมโนราห์ออกมาได้น้อย หรือเฉลี่ยแค่สัปดาห์ละ 50 ชิ้นเท่านั้น ในขณะที่ความต้องการมีสูง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ทำด้วยมือ และมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมเด็กๆ ให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และช่วยสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นใต้ จนล่าสุดมีห้างยักษ์ใหญ่ติดต่อสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถผลิตให้ได้
ด.ช.สุดที่รัก สังฆ์รักษ์ หรือน้องตะวัน” นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดไทรทอง ในฐานะรุ่นพี่แกนนำกลุ่มร้อยลูกปัดมโนราห์ บอกว่า ผู้ที่นิยมซื้อหาสินค้ามักจะเป็นกลุ่มคนเมือง ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อน จึงรู้สึกตื่นเต้นและชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เมื่อนำเครื่องประดับเหล่านี้มาสวมใส่ อีกทั้งยังมีราคาแค่ชิ้นละ 25-50 บาท ซึ่งทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อหาด้วย ขณะเดียวกัน นอกจากบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองจะเดินทางจะมาชมการร่ายรำ และการแสดงของลูกคู่แล้ว ยังถือโอกาสให้ลูกหลานได้ทดลองร้อยลูกปัดมโนราห์ด้วย
แม้ปัจจุบันจะเหลือการร้อยลูกปัดมโนราห์เพียงแค่ไม่กี่กลุ่มแล้ว แต่เด็กและเยาวชนชาว อ.นาโยง ก็ยังคงพยายามมาร่วมกันสืบสานต่อไป เพื่อมิให้ภูมิปัญญาชนิดนี้สูญหายไปจากถิ่นใต้


