"วิชัย ศรีวัฒนประภา" ผู้สร้างอาณาจักรแสนล้าน "คิง เพาเวอร์"
ย้อนเส้นทางธุรกิจของ "วิชัย ศรีวัฒนประภา" ผู้สร้างอาณาจักร "คิงเพาเวอร์" ด้วยสองมือและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
ย้อนเส้นทางธุรกิจของ "วิชัย ศรีวัฒนประภา" ผู้สร้างอาณาจักร "คิงเพาเวอร์" ด้วยสองมือและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ ในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ หนึ่งในอภิมหาเศรษฐีไทยที่รวยเป็นอันดับต้นๆ โดยล่าสุดนิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับ “ วิชัย” ติดโผอันดับที่ 5 มหาเศรษฐีของไทยและอันดับที่ 388 ของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมกว่า 162,500 ล้านบาท
ย้อนกลับไปปี 2532 วิชัยได้สร้างอาณาจักรคิง เพาเวอร์ขึ้น โดยได้รับใบอนุญาตให้เปิดร้านค้าปลอดภาษีและอากร หรือดิวตี้ฟรี ในเมืองแห่งแรกของไทยที่อาคารมหาทุนพลาซ่า และในปี 2549 ได้รับสัมปทานใหญ่ในการให้บริการร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ เชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่
ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันที่กระจายร้านค้าดิวตี้ฟรีทุกหัวมุมเมือง ที่รางน้ำ ศรีวารี พัทยา และภูเก็ต สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเจ้าสัววิชัย ที่ต้องการเป็นบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจค้าปลีกที่พร้อมและสามารถให้บริการในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยวได้ดีที่สุด
ผลประกอบการของคิง เพาเวอร์ เติบโตต่อเนื่องทุกปี สอดรับกับตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ขุมทรัพย์ของตระกูลศรีวัฒนประภากว่า 90% จึงมาจากธุรกิจดิวตี้ฟรีที่ช่วยสร้างรายได้รวมกว่า 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ โรงละครอักษรา และภัตตาคารรามายณะ และล่าสุดที่ทุ่มงบลงทุนกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อทรัพย์สินบางส่วนของโครงการมหานคร ได้แก่ โรงแรมจุดชมวิว Observation Deck ร้านค้าปลีกบริเวณพื้นที่รีเทล 4 ชั้น อาคารรีเทลมหานครคิวบ์ รวมถึงที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น คิง เพาเวอร์ มหานคร เพื่อต่อยอดธุรกิจโรงแรมดิวตี้ฟรีและการท่องเที่ยว
ไม่เพียงเท่านี้ วิชัยยังขยายธุรกิจโดยเข้าซื้อกิจการสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2553 ซึ่งใช้เงินมากกว่า 5,000 ล้านบาท ก่อนที่ในปี 2559 จะสร้างปรากฏการณ์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปี ทำให้จิ้งจอกสยามในมือของคิง เพาเวอร์ สามารถสร้างชื่อเป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยมูลค่าของสโมสรหลังคว้าแชมป์ขยับขึ้นสูงกว่า 1.72 หมื่นล้านบาท
ถัดมาในปี 2560 ขยายอาณาจักรธุรกิจลูกหนังไปที่เบลเยียม ปิดดีลซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล เอาต์ เฮเวเลย์ เลอเวิน ทีมในลีกดิวิชั่น 2 เบลเยียม โดยเข้าถือหุ้น 92% ซึ่งใช้เงินลงทุนราว 100 ล้านบาท อีกทั้งยังใช้เงินสดราว 500 ล้านบาท ซื้อสนามแฮมโปโล กลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น “คิง เพาเวอร์ บิลลิ่งแบร์ โปโล พาร์ค”
ธุรกิจในอาณาจักรของเจ้าสัววิชัยทุกวันนี้ มีมือขวาที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักสำคัญในการสานต่อธุรกิจแสนล้าน ต๊อบ-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และรองประธานสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ซึ่งเป็นทายาทคนเล็ก ที่ได้ฉายภาพนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ภายใต้ยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจใน 5 ปีจากนี้ (ปี 2560-2564) ภายใต้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายอาณาจักรของธุรกิจดิวตี้ฟรีไปสู่เป้าหมายยอดขาย 1.3-1.4 แสนล้านบาท
พร้อมกันนี้ ยังได้วางกลยุทธ์การตลาดและการลงทุนที่จะขยายสาขาธุรกิจดิวตี้ฟรีให้ตั้งอยู่ใจกลางหัวเมืองใหญ่ของไทยและในต่างประเทศรองรับการเติบโตภาคการท่องเที่ยว เพื่อขยายอาณาจักรและผลักดันธุรกิจดิวตี้ฟรีไทยก้าวขึ้นสู่ท็อป 5 ของธุรกิจดิวตี้ฟรีระดับโลกภายใน 5 ปีจากนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าท้ายนับจากนี้จากอายุสัมปทานที่ คิง เพาวเวอร์ ได้รับอนุญาตให้ขายสินค้าในสุวรรณภูมิกำลังจะหมดอายุลงในปี 2563 ซึ่งคู่แข่งยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ต่างต้องการโดดเข้าร่วมตอกเสาเข็มเพื่อสร้างธุรกิจของตนเองจากขุมทรัพย์ธุรกิจดิวตี้ฟรีนี้เช่นกัน ซึ่งอัยยวัฒน์ก็พร้อมแข่งขันเพื่อครองอาณาจักรคิง เพาเวอร์ ให้คงอยู่ต่อตามวิสัยทัศน์ของเจ้าสัววิชัยต่อไป


