เสาปักหมุดบันไดจากเทวโลก
โดย กรกิจ ดิษฐาน ภาพถ่ายเก่าโดยนักสำรวจชาวอังกฤษ แสดงสภาพหัวเสาอโศกรูปช้างที่เมืองสังกัสสะ อายุราว 300 ปี
โดย กรกิจ ดิษฐาน
ภาพถ่ายเก่าโดยนักสำรวจชาวอังกฤษ แสดงสภาพหัวเสาอโศกรูปช้างที่เมืองสังกัสสะ อายุราว 300 ปี ก่อนคริสตกาล หรือ 2,200 ปีก่อน คาดว่าพระเจ้าอโศกทรงตั้งเสาขึ้นเพื่อเป็นหมุดหมายประกาศความสำคัญของเมืองสังกัสสะ ซึ่งเป็นเมืองที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ หลังจากที่พระองค์เสด็จไปทรงจำพรรษาที่ 7 หลังการตรัสรู้ ณ ดาวดึงส์ เพื่อทรงแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดา เพื่อทดแทนพระคุณพระราชมารดาที่ให้กำเนิดมา จนเป็นธรรมเนียมในพระพุทธศาสนาว่า ไม่มีอะไรที่จะทดแทนพระคุณบิดรมารดาได้ดีเท่ากับชักนำท่านเข้าสู่ทางธรรม
คัมภีร์สังคีติกถา บันทึกไว้ว่าในการแสดงธรรมคราวนั้นมี 7 รอบ
รอบที่ 1 เทศนาธรรมสังคณี 12 วัน เทวดาบรรลุมรรคผล 7 โกฏิ
รอบที่ 2 เทศนาวิภังค์ 12 วัน เทวดาบรรลุมรรคผล 7 โกฏิ
รอบที่ 3 เทศนาธาตุกถา 6 วัน เทวดาบรรลุมรรคผล 6 โกฏิ
รอบที่ 4 เทศนาปุคคลบัญญัติ 6 วัน เทวดาบรรลุมรรคผล 6 โกฏิ
รอบที่ 5 เทศนากถาวัตถุ 13 วัน เทวดาบรรลุมรรคผล 7 โกฏิ
รอบที่ 6 เทศนายมก 18 วัน เทวดาบรรลุมรรคผล 7 โกฏิ
รอบที่ 7 เทศนามหาปัฏฐาน 23 วัน เทวดาบรรลุมรรคผล 20 โกฏิ
รวมแล้ว 3 เดือนมีเทวดาบรรลุธรรม 80 โกฏิ พระสิริมหามายาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
เมื่อจบการแสดงธรรมแต่ละรอบ พระพุทธองค์จะเสด็จมาสอนพระสารีบุตร และพระสารีบุตรจะสอนบรรดาศิษย์ในสำนัก และจดจำกันมาเป็นอภิธรรมทั้ง 7 คัมภีร์ ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเทศนาพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาแล้ว พระพุทธองค์จึงเสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงเสด็จโดยบันไดเนรมิตทอดยาวจากเทวโลกจนถึงมนุษย์พิภพ หัวบันไดอยู่ที่ภูเขาพระสิเนรุ ปลายบันไดนั้นมาอยู่ที่เมืองสังกัสสะ
บันทึกฝ่ายเถรวาทกล่าวว่า บันไดขวาเป็นบันไดทองของเทพ บันไดซ้ายเป็นบันไดเงินของพรหม บันไดกลางเป็นแก้วมณีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บันทึกของพระฝาเสี่ยน ฝ่ายมหายานกล่าวว่า บันไดของเทพทำด้วยทองเหลือบม่วง (นาก?) บันไดของพรหมเป็นเงิน บันไดของพระพุทธองค์เป็นสัปตรัตนะ หรือแก้ว 7 ประการ แล้วทรงกระทำปาฏิหาริย์ โลกทั้ง 3 ก็เปิดออกเห็นกันและกัน จากพรหมโลกจนถึงอเวจีนรก
อรรถกถากล่าวว่า “พระศาสดาประทับยืนอยู่บนยอดเขาสิเนรุ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก ทรงแลดูข้างบนแล้ว สถานที่อันพระองค์ทรงแลดูแล้วทั้งหลาย ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก ทรงแลดูข้างล่าง สถานที่อันพระองค์ทรงแลดูแล้ว ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงอเวจี ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียงทั้งหลาย จักรวาลหลายแสนได้มีเนินเป็นอันเดียวกัน เทวดาเห็นพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็เห็นพวกเทวดา พวกเทวดาและมนุษย์ทั้งหมด ต่างเห็นกันแล้วเฉพาะหน้าทีเดียว”
เมื่อลงมาถึงโลกมนุษย์ทรงประทับพระบาทเบื้องขวา อรรถกถากล่าวว่า “สถานที่พระบาทเบื้องขวาประดิษฐาน ณ ที่เสด็จลงนั้น มีนามว่า อจลเจติยสถาน”
พระฝาเสี่ยนบันทึกว่า เมื่อเสด็จถึงพื้นโลกแล้ว บันไดอันตรธานไปเหลือเพียง 7 ขั้น ต่อมาพระเจ้าอโศกปรารถนาจะเห็นปลายบันได ทรงสั่งให้ขุดลงไปถึงปลาย ก็ไม่พบปลายพบแต่น้ำพุสีเหลือง จึงทรงเกิดศรัทธาสร้างวิหารครอบไว้ แล้วตั้งเสารูปสิงโต (ที่จริงเป็นหัวช้าง)
คราวหนึ่งนักบวชศาสนาอื่นมาตู่ว่าเขตวิหารเป็นของตนจึงเถียงกับภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่เถียงกันไม่จบ จึงพากันไปสาบานต่อหน้าวิหารว่า หากที่นี่เป็นของพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้เกิดปาฏิหาริย์ พอสิ้นคำ สิงโตบนหัวเสา (ช้าง) ก็ร้องคำรามขึ้นมา นักบวชนอกศาสนาเกิดความกลัว จึงยอมถอยไป
ส่วนบันไดนั้น ต่อมามีผู้สร้างด้วยอิฐและหินเป็นที่รำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ เมื่อพระถังซำจั๋งเดินทางมาถึงเมืองสังกัสสะเมื่อศตวรรษที่ 7 ได้บันทึกว่าบันไดนั้นยังอยู่ แต่จมแผ่นดินไปเกือบหมดแล้ว
ภาพหัวเสานี้ถ่ายเมื่อปี 1870 ปัจจุบันหัวเสารูปช้างยังคงอยู่ที่เมืองสังกัสสะ


